การใช้ชีวิตของคนเราถ้าให้ความสำคัญกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากจนเกินไปอาจจะทำให้ชีวิตเสียสมดุล และเกิดความเครียดมากจนเกินไป Work Life Balance คือการบาลานซ์ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกัน ถึงแม้ทุกๆคนจะมีเวลาในการใช้ชีวิตที่เท่ากัน แต่สำหรับบางคนแล้วกลับให้ความสำคัญกับงานมากจนเกินไปจนไม่เหลือเวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัวอยู่กับสิ่งรอบข้าง สิ่งเหล่านี้จึงมักจะเกิดเป็นความเครียดจากการทำงานที่หนักจนเกินไป จนส่งผลให้สุขภาพเสียสมดุลตามไปด้วย แนวคิดอย่าง Work Life Balance คือการสร้างสมดุลในทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวเพื่อลดผลกระทบที่จะตามมาที่เกิดจากการให้ความสำคัญกับเรื่องงานที่หนักจนเกินไป แต่ถ้าหากเราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของเราได้ ก็จะส่งผลให้ชีวิตเรามีความสุข ทำให้สุขภาพกาย และสภาพจิตใจดีตามไปด้วยอีกทั้งสิ่งเหล่านี้ยังส่งผลให้คนรอบข้างเรามีความสุขตามไปด้วย
แล้วจะต้องทำยังไงถึงจะได้มีชีวิตแบบนั้นบ้าง วันนี้ Trust-Vision มีเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คนทำงานสามารถจัดการชีวิตตัวเองให้มี Work-Life Balance ในแบบของตัวเองได้มาฝาก
1. กำหนดตารางเวลาที่ชัดเจน การแบ่งเวลาให้มีความชัดเจน ว่าเวลาไหนควรทำงาน เวลาไหนควรใช้ชีวิตในแบบส่วนตัวหรืออยู่กับครอบครัวถือเป็นการสร้างสมดุลที่ดีในการ Balance ชีวิตที่จะไม่ก่อให้เกิดความเครียดสะสมจนเกินไป การที่เรากังวลกับสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นคิดเรื่องที่บ้านในขณะที่กำลังทำงาน หรือคิดเรื่องที่ทำงานในระหว่างอยู่กับครอบครัว ซึ่งสิ่งที่เราควรทำคือการแยกเรื่องที่บ้านและเรื่องที่ทำงานออกจากกันอย่างเด็ดขาด โฟกัสกับการทำงานในเวลางาน โฟกัสครอบครัวในเวลาที่อยู่กับครอบครัว ไม่ให้ความสำคัญกับอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไป จนเสียสมดุลในการใช้ชีวิต ควรทำตามแผนที่วางไว้อย่างมีวินัย ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างให้มากขึ้นเพราะการแบ่งเวลาให้กับคนรอบตัวหรือครอบครัวสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ และยังสามารถเป็นตัวช่วยในการบรรเทาความเครียดหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราควรมีการจัดแบ่งเวลาให้ชัดเจนเพื่อเป็นตัวช่วยที่ดีในการใช้ชีวิตให้มีความสุข
2. การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การตั้งเป้าหมายในการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันควรจัดลำดับความสำคัญและจัดลำดับการทำงานเพื่อการจัดการเวลาในการทำงานที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน หรือการใช้ชีวิตเราควรให้ความสำคัญในทุกๆเรื่อง ไม่ปล่อยให้ชีวิตเลื่อนลอยจนเกินไป รวมทั้งมีการกำหนดแผนดูว่า เรามีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายตามที่เรากำหนดไว้
3. ทำในสิ่งที่ตนเองมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการ Brake สั้นๆ ในระหว่างการทำงาน หรือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวันก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะส่งผลให้ความเครียดลดลง หลายๆครั้งที่คนทำงานอย่างเราๆต้องมีการ Active อยู่ตลอดเวลาหรือมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆโดยไม่มีจุดสิ้นสุด เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับตนเอง หลายครั้งที่เรารู้สึกผิดที่จะต้องหมกมุ่นอยู่แต่กับสิ่งใหม่ๆ หรืองานอยู่ตลอดเวลา จนส่งผลให้เราละเลยทำในสิ่งที่ส่งผลในตัวเองมีความสุข เราลองให้เวลากับตัวเองโดยการลงมือทำอะไรบางอย่างที่เราชอบและสนุกกับมัน ลองหันมาใส่ใจกับตนเองและคนรอบข้างมากขึ้นควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกไปเที่ยวทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด ก็จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต
….บทสรุปส่งท้ายนี้ แอดอยากจะบอกว่า “ งานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ” เราทุกคนควรมีการจัดแบ่งเวลาให้กับการใช้ชีวิตให้ดีๆ ไม่หมกมุ่นกับเรื่องบางเรื่องมากจนเกินไป จนละเลยคนที่อยู่รอบตัว รู้จักปรับเปลี่ยนวิธีในการรักษาสมดุลของชีวิตเพียงแค่นี้ก็จะทำให้การใช้ชีวิตของเราง่ายขึ้น และมีความสุขมากขึ้นอีกด้วย….