วิธีแก้ปัญหาลดอัตราการ ลาออก ของพนักงาน

วิธีแก้ปัญหาลดอัตราการ ลาออก ของพนักงาน

        วิธีแก้ปัญหาลดอัตราการ ลาออก ของพนักงาน ในเรื่องของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ย่อมต้องได้มาจากบุคลากรที่มีประสิทธิภาพที่ได้มาทำงานในองค์กร นอกจากการเลือกจากคุณสมบัติที่เลิศ เลือกบุคลากรที่สามารถทำงานได้ดีเยี่ยมแล้ว แต่การที่จะทำให้พวกเค้าเหล่านั้นมีความสุข สนุกกับงานที่ทำนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้คนทำงานอยากพัฒนาในเรื่องของงานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่แล้วทำไมพนักงานบางคนถึงคิดที่อยากจะลาออกจากงาน ? เมื่อมองถึงเหตุผลง่าย ๆ เลยก็คือ ในการทำงานก็คือการใช้เวลาเพื่อแลกมากับผลตอบแทนบางอย่างหรือในหลาย ๆ อย่าง เช่น  เงินเดือน สวัสดิการ ความรู้ ความท้าทาย หรือแม้แต่สังคมในการทำงาน หากเราทำแล้วรู้สึกไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย หรือมีอีกทางเลือกในการไปหาองค์กรอื่นที่สามารถให้เราได้เยอะมากกว่า

          ข้อเสียและวิธีแก้ปัญหาพนักงานลาออก เป็นปัญหาที่น่าปวดใจที่สุดของผู้บริหารและหัวหน้างานก็คือการที่พนักงานลาออก บางครั้งในหลายครั้งที่องค์กรมักจะมีการโทษพนักงานว่ามีความอดทนไม่เพียงพอ ไม่เหมาะกับงานที่ทำอยู่ แต่จริงๆแล้วการเหมารวมแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีกมาก ดังนั้น สรุปก็คือการลาออกส่งผลเสียต่อองค์กรในระดับหนึ่ง และการที่พนักงานทำงานกับองค์กรยาว ๆ ก็คือผลดีที่หลายองค์กรส่วนมากอยากได้ โดยเหตุผลหลัก ๆ ในการลาออกของพนักงานนั้นก็คือความพึงพอใจในงานเมื่อเกิดความไม่พอใจในการทำงานก็จะทำให้เกิดการลาออก ดังนั้น วันนี้ทางทีม TV จึงได้เขียนบทความเพื่อมาแชร์ถึง วิธีแก้ปัญหาลดอัตราการ ในการลาออกของพนักงาน ดังตัวอย่างเช่น

สิ่งที่ทำให้พนักงานคิดอยากจะ ( ลาออก )

เงินเดือนและสวัสดิการ

เรื่องเงินเดือนและสวัสดิการถือเป็นปัญหาเบื้องต้นหลัก ๆ ของสาเหตุที่หลายคนเลือกที่จะการลาออก เพราะพนักงานไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขได้หากตัวเองและครอบครัวยังได้รับผลตอบแทนไม่เพียงพอ เงินเดือนนั้นควรอยู่บนพื้นฐานของค่าเฉลี่ยของตลาดงานในตำแหน่งนั้น ๆ ถ้าต่ำเกินไปจะทำให้องค์กรอื่นมีแรงดึงดูดพนักงานมากกว่านั้นเอง การดูแลในด้านเงินทำให้ชีวิตของพนักงานดีขึ้นและต้องไม่มีความกังวลในการใช้ชีวิตจะช่วยยกระดับการทำงานได้อีกด้วยในส่วนขององค์กรที่มีขนาดใหญ่ก็สามารถให้สวัสดิการพนักงานได้เยอะเช่นกันเพื่อเป็นการประหยัดต่อขนาดแบบหนึ่ง เพื่อเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินเดือนที่เยอะ แต่ยังทำให้พนักงานส่วนมากพึงพอใจในส่วนนี้ได้

โอกาสในการเติบโตในองค์กรน้อย

ในเรื่องของการทำงานแน่นอนว่าพนักงานทุกคนนั้นย่อมต้องการความมั่นคงและการเติบโตจากตำแหน่งและหน้าที่การงาน ดังนั้นแล้วแน่นอนว่าตัวบริษัทจำเป็นที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานว่า บริษัทนั้นมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตโดดเด่นเป็นที่รู้จักในวงการธุรกิจเดียวกัน และพัฒนาบุคลากรให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน เพราะนอกจากการที่องค์กรมีการมอบงานหรือหน้าที่ที่มีความท้าทายหรือเสี่ยงสูงสิ่งที่ควรเพิ่มตามหน้าที่ให้นั่นคือการเติบโตในตำแหน่งงานด้วยเพราะคงไม่มีใครอยากที่จะทนรับงานมากยิ่งขึ้นแต่ตำแหน่งเท่าเดิมและได้ผลตอบแทนเท่าเดิมได้หรอก

หัวหน้าและเพื่อนร่วมงา

ในที่ทำงานหัวหน้างาน เปรียบเสมือน ครู ที่ช่วยแนะนำ ที่คอยให้ความรู้ และบางครั้งก็เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยรับฟังปัญหา คอยชี้แนะแนวทาง และอยู่เคียงข้างด้วยความเข้าใจแน่นอนว่าคนที่เป็นหัวหน้างานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษในการบริหารคน เปิดใจรับฟังลูกน้องทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน มียุติธรรม มีความเป็นผู้นำที่ดี คอยให้การสนับสนุน และช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกทีมอย่างเต็มใจ เพื่อที่จะให้เกิดการทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเกิดความเคารพ ให้เกียรติ และจริงใจต่อกัน ในการทำงานร่วมกันเป็นทีมถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทีมนั้นประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากคนในทีมไม่มีความสมัครสามัคคีกันย่อมทำให้เกิดรอยร้าว และนำไปสู่ความไม่เข้าใจกันในที่สุดนั้นจะส่งผลให้งานที่ออกมามีปัญหาเช่นเดียวกันกับพนักงานที่รู้สึกว่าความสัมพันธ์กับหัวหน้างานไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายไม่ปลื้มผลงาน เจ้านายลำเอียง หรือเจ้านายเลือกที่รักมักที่ชัง เพราะพวกเขาเล็งเห็นว่าหากมีปัญหากับหัวหน้างานอาจจะส่งผลให้ไม่ได้รับการโปรโมทในงาน ไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือน หรืออาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องทำงานด้วย นี้ก็ถือเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้พนักงานหลายๆคนเลือกที่จะลาออกเพื่อที่จะหาที่ทำงานใหม่ๆที่ตนสามารถเข้าร่วมและอยู่ได้อย่างสบายใจ

ความไม่เท่าเทียม

แน่นอนว่าปัญหาการเมืองภายในองค์กรนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับการทำงานของพนักงานเลยก็ว่าได้เพราะปัญหาเหล่านี้มักจะทำให้คนที่เก่งแต่ไม่ได้ถูกโปรดปรานลาออก และรวมไปถึงการมองถึงพนักงานเก่าเป็นของตายโดยไม่ใส่ใจหรือมองเห็นคุณค่า ผิดกับพนักงานใหม่ที่เข้ามารับผลตอบแทนที่มากกว่าทั้งที่อาจจะทำงานได้ไม่เท่าพนักงานเก่า ยกตัวอย่างเช่น หัวหน้าชอบพนักงานคนนี้มากกว่า เลยส่งผลให้พนักงานคนนั้นได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าคนอื่นๆที่ไม่ได้เป็นที่โปรดปราน เมื่อไหร่ที่มีความไม่เท่าเทียมกันเกิดขึ้นก็จะส่งผลให้องค์กรเสียพนักงานที่เก่งหรือพนักงานเก่าที่รู้งานอยู่แล้วปัญหาตรงนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อองค์กรในการหาพนักงานใหม่และเสียเวลาในการสอนงานให้กับพนักงานใหม่นั้นเอง

ได้ทำงานที่ไม่ถนัด

ปัญหาที่หลายๆคนประสบพบเจอเมื่อเริ่มทำงานนั้นบางครั้งนั้นก็คือการได้ทำงานในสิ่งที่ตนไม่ถนัด อย่างเช่นการที่เรียนจบมาอีกแบบหนึ่ง แต่พอมาทำงานจริงๆแล้วนั้นงานที่เจอกับไม่เป็นอย่างที่คิด หรือการได้รับมอบหมายในงานที่เกินขอบเขตที่ตนรับผิดชอบหรือเกินกำลังของตนเองมากจนเกินไปก็จะก่อให้เกิดความประหม่าหรือความไม่มั่นใจในการทำงานที่ตนทำอยู่ ดังนั้นสิ่งนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกกดดันตนเอง กังวลในเรื่องระยะเวลาที่จะต้องส่งกับปริมาณงานที่ได้รับและกังวลว่าในเรื่องของประสิทธิภาพของงานที่ได้รับมอบหมายเพราะเมื่อหากงานที่ออกมาไม่ดีตามที่หวังก็จะได้รับการตำหนิ ดังนั้นหากเลือกได้พวกเขามักจะมองหางานใหม่ที่ใช่มากกว่า หรืองานที่พวกเขาถนัดมากกว่า นี้ก็เป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลให้พนักงานลาออกนั้นเองค่ะ

แนวทางแก้ปัญหาลดอัตราการ ( ลาออก ) ของพนักงาน

สำรวจค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงาน

องค์กรต้องสำรวจว่าค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงานในแต่ละคนว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ อาจจะใช้วิธีโดยการสำรวจค่าจ้างและสวัสดิการในตำแหน่งนั้น ๆ ว่าตแหน่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นในตลาดแรงงานนั้นให้กันอยู่ที่เท่าไร เพื่อที่เราจะได้มีการจ่ายค่าจ้างและให้สวัสดิการนั้นให้ตรงตามความเหมาะสมเพื่อความพึ่งพอใจของพนักงานและรักษาพนักงานในการทำงานกับองค์กรให้นานมากยิ่งขึ้นนั้นเอง

วางแผนให้พนักงานได้เติบโตไปกับองค์กร

แน่นอนว่าแนวทางการเติบโตขององค์กรนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้นองค์กรต้องวางแผนสร้างทิศทางการทำงานให้พนักงานได้เห็นโอกาสที่จะเติบโตก้าวหน้าในอาชีพที่พวกเขาทำอยู่ สร้างความเชื่อมั่นและทำให้พวกเขาได้มีการพัฒนาศักยภาพให้มากยิ่งขึ้น โดยอาจจะใช้วิธีที่ทำให้พนักงานได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ หรือมีสวัสดิการในการส่งไปอบรมเพื่อความรู้ความสามารถที่มากยิ่งขึ้น และวางเป้าหมายให้พวกเขารู้สึกว่ามีเป้าหมายมีความท้ายทายในการทำงานเพื่อความก้าวหน้าและเติบโตในสายงานนั้นเอง

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร

การทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีของพนักงานทุกคนนั้นถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยให้องค์กรลดปัญหาในการเกิดการมืองหรือความขัดแย้งภายในองค์กร ดังนั้นในการเชื่อมสัมพันธืที่ดีให้กับพนักงานนั้นองค์กรอาจจะหากิจกรรมให้พนักงานในองค์กรได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คนที่เป็น HR จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่มีต่อกันอย่าปล่อยให้สภาพแวดล้อมในการทำงานแย่ลงไปเรื่อย ๆ

มอบหมายงานให้ตรงตามตำแหน่ง

คนเป็นหัวหน้างานนั้นควรมอบงานที่ตรงกับตำแหน่งหน้าที่ของลูกน้องโดยไม่เอาเปรียบลูกน้อง รู้จุดอ่อน จุดแข็งของลูกทีมเป็นอย่างดี และไม่มอบหมายงานให้แก่ลูกน้องมากจนเกินไปจนบางครั้งก็จะเกิดการทำงานที่มากจนเกินไป ดังนั้นแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมอบหมายในงานที่เหมาะสมตามตำแหน่งและตามหน้าที่ของพนักงานอย่างเท่าเทียมเพื่อความพึงพอใจงานของพนักงานและประสิทธิภาพในการทำงาน

ให้ความเท่าเทียมที่เท่ากัน

องค์กรจะต้องให้ความยุติธรรมและความเท่าเทียมแก่พนักงานทุกคนอย่างเท่า ๆ กันไม่เข้าข้างใครคนใดคนหนึ่งอย่างไร้เหตุผลเพียงเพราะเขาเป็นคนโปรด แต่ควรที่จะให้ความเท่าเทียมกันอย่างเหมาะสม อย่างตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ โดยคำนึงในการชั่งน้ำหนักแต่ละเรื่องให้เป็นอย่างดีก่อนตัดสินนั้นเอง

          เมื่อพบกับปัญหาเราก็ต้องคิดหาวิธีแก้ แน่นอนหลักการในการดูแลพนักงานในองค์กรให้พวกเขามีความสุขนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจหรือเป็นเรื่องซับซ้อนที่องค์กรต้องเจอเพราะพนักงานแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกันแล้วในฐานะที่เราเป็นนายจ้างเราควรจะหาจุดตรงกลางร่วมกันเพื่อที่จะได้มีฐานในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่จะทำให้พนักงานรักในองค์กรและอย่าที่จะทำงานกับองค์กรไปนานๆ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่พวกเขามีความสุขในการทำงานแน่นอนว่าพวกเขาก็จะยิ่งสร้างผลงานหรือผลิตผลงานที่มีประสิทธิภาพให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดีนั้นเองค่ะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

https://th.hrnote.asia/

https://th.jobsdb.com/th/th

สามารถอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA และสายงาน HR    คลิ๊ก!!!

5 คุณสมบัติที่ดี ที่คนเป็น “หัวหน้างาน” ควรมี

5 คุณสมบัติที่ดี ที่คนเป็น “หัวหน้างาน” ควรมี

          หัวหน้างาน เปิด 5 คุณสมบัติที่ดี ที่คนเป็นหัวหน้างานควรมี แน่นอนว่าใคร ๆ ก็เป็นหัวหน้าได้ หากมีขั้นตอนในการว่าจ้างคน มีขั้นตอนในการสอนงาน หรือมีลูกทีมที่ต้องรับผิดชอบดูแล แต่จะว่าไปการที่คน ๆ หนึ่งจะได้กลายมาเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรักและให้ความเคารพและอยากร่วมทำงานด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย หรือไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่มาจากประสบการณ์การทำงาน หรือมาจากการสังเกต และมาจากความเชื่อใจที่คนอื่นมีต่อคุณ และแน่นอนว่าการจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไว้วางใจได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะการที่เราจะสร้างความน่าเชื่อถือมันไม่ใช่ตำแหน่งที่สามารถแต่งตั้งขั้น แต่สิ่งเหล่านี่มันเกิดขึ้นจากการกระทำมาเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณสมบัติของคนที่เป็นหัวหน้างาน ไม่ว่าจะมาจากผลงานที่คุณทำและความรู้สึกของลูกน้องที่มีต่อคุณ มันไม่ใช่การที่คุณต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดหรือเป็นคนที่ทำงานเยอะที่สุด แต่การที่จะเป็นหัวหน้าที่ดีนั้นจะต้องมีความรับผิดชอบมากที่สุด ไม่ใช่แค่รับผิดชอบเฉพาะคนในทีม หรือรับผิดเพียงแค่หน้างานของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการรับผิดชอบในการกระทำและคำพูดของตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะนั่นถือเป็นคุณสมบัติที่จะทำให้ใคร ๆ ก็ไว้ใจและอยากทำงานร่วมด้วย ซึ่งวันนี้ทางทีม Trust-Vision ได้นำแนวทางการมีคุณสมบัติที่ดีของหัวหน้างานมาแชร์ ดังต่อไปนี้

  1. ทักษะการสื่อสารที่ดี

การที่หัวหน้างานมีทักษะในการสื่อสารที่ดีนั้นก็จะทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารนั้นเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการทำงานต่างๆ อย่างแท้จริงและสามารถดำเนินงานให้ออกมาดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้การมีทักษะการสื่อสารที่ดีนั้นจะยังช่วยให้ลูกทีมของคุณนั้นเกิดแรงบันดาลใจในการทำงานใหม่ๆ ที่จะช่วยเป็นแรงผลักดันในความสามารถที่แท้จริงของพนักงานออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  1. ทักษะการวางแผน

หัวหน้าที่ดีต้องมีทักษะในการวางแผนที่ดี เพื่อเป็นรากฐานที่จะทำให้คนในทีมหรือธุรกิจนั้นสามารถมุ่งไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะการวางแผนจะทำให้สามารถประเมินการแบ่งสัดส่วนงานของพนักงานแต่ละคนในทีมได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ ย่นระยะเวลาในการทำงาน และเพิ่มโอกาสในการทำให้ถึงเป้าหมายตามที่คาดหวังไว้

  1. ทักษะการรู้จุดยืน

คนที่จะมาเป็นนำที่ดีนั้นควรจะต้องรู้จักจุดแข็งและจุดอ่อนของลูกทีมในแต่ละคน ว่าลูกทีมในแต่ละคนมีความถนัดในด้านใดบ้าง เพื่อที่จะได้มีการมอบหมายงานที่เหมาะสมกับแต่ละคน นอกจากนี้ควรจะต้องดึงจุดแข็งของแต่ละคนออกมาให้ได้ รวมไปถึงการสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะที่จะช่วยพัฒนาทักษะที่ไม่ถนัดของแต่ละคนเพื่อให้การทำงานนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  1. ทักษะรับผิดชอบการกระทำและคำพูดของตนเอง

ยิ่งคนที่เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องให้ความเชื่อถือมากขึ้นหากสามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคนในทีมได้ แม้มันอาจไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่มากนัก เมื่อไหร่ที่หากคุณไม่สามารถรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับลูกน้องแล้วนั้น และลูกน้องของคุณก็คงไม่ถือโทษหรือบังคับอะไรได้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็อาจได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่ลูกน้องมีต่อคุณไปแล้ว และการสูญเสียความน่าเชื่อถือไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีอะไรมาทดแทนได้อีกเลย

 

  1. ทักษะการทำงานเป็นทีม

และสุดท้ายแล้วแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานคือ (Team Work) นั้นเอง ฉะนั้นแล้ว ความสนิทสนมกันภายในทีมจะช่วยให้สามารถสร้างแรงกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้กับลูกทีมได้มากขึ้นการทำงานแบบระบบทีม (Teamwork) ที่ดีได้นั้นย่อมเกิดจากทีมงาน (Team Work) ที่ดี ซึ่งทีมงานที่ทำงานระบบทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมทำให้องค์กรมีประสิทธิผลและเกิดความสำเร็จ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ องค์กรที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ย่อมสร้างผลสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน และนั่นก่อให้เกิดการพัฒนาองค์กรตลอดจนบุคลากรที่จะก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ข้อมูลอ้างอิงจาก

Good Leader

How to be a good leader

สามารถอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA และสายงาน HR    คลิ๊ก!!!

ต้นทุนการจ้างงานคืออะไร ?

ต้นทุนการจ้างงานคืออะไร ?

ต้นทุนการจ้างงานคืออะไร หลายคนอาจสงสัยว่า ต้นทุนการจ้างงานนั้นคิดอย่างไร แล้วมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน โดยปกติแล้วต้นทุนการจ้างงานของพนักงานแต่ละคนนั้น ก็จะถูกแบ่งออกเป็นต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม เหมือนกับต้นทุนในการบริหารองค์กร

แต่โดยทั่วไปแล้วองค์กรจะมองเห็นแค่เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงานเท่านั้นเพราะว่าไม่มีการแยกรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขี้นจริงตั้งแต่กระบวนการสรรหาจนถึงกระบวนการรับเข้าเป็นพนักงานประจำ หลายองค์กรมองว่าการคิดแค่เงินเดือนและสวัสดิการนั่นง่ายต่อการคำนวณคิดต้นทุนการจ้างงาน  และในหลายๆ องค์กรจะมองผลงานของพนักงานที่สามารถวัดได้จริงๆ เท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นหน่วยงานในสายงานหลักขององค์กรเช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาดฝ่ายผลิต ฯลฯหน่วยงานเหล่านี้สามารถที่จะเก็บตัวเลขผลงานของพนักงานแต่ละคนออกมาได้จริงๆ อย่างชัดเจนแต่ในส่วนงานของฝ่ายสนับสนุนเช่น แผนกบัญชี ฝ่ายบุคคล ในส่วนนี้จะวัดต้นทุนกันได้ยากเนื่องจากว่าไม่มีตัวเลขมาวัดได้อย่างชัดเจนเหมือนกับฝ่ายอื่นทำให้หลายองค์กรไม่ได้คิดต้นทุนในส่วนนี้กัน และส่วนมากจะใช้ประเมินเป็นการประเมินศักยภาพในการทำงานของแต่ละบุคคลเสียมากกว่า แต่หลักการประเมินก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลดีนัก องค์กรควรมีหลักการคำนวณต้นทุนที่ตรงไปตรงมาและตรงกับบริบทในการทำงานขององค์กร ตรงกับประเภทของธุรกิจการทำงานขององค์กร แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าคน มีความแตกต่างกับเครื่องจักร เราจะมาวัดต้นทุนกันโดยวิธีการคำนวณสูตรอย่างเดียว แบบนี้ก็ไม่ค่อยถูกต้องนักเนื่องจากเครื่องจักรเรายังสามารถคิดต้นทุนได้ชัดเจน แต่สิ่งที่ต่างก็คือ เครื่องจักรนับวันจะเสื่อมค่าลง ( คิดค่าเสื่อมราคาได้ ) แต่ทรัพยากรคนนั้น ถ้าเราลงทุกพัฒนาเขาได้อย่างตรงจุด ถูกทาง เขาจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรและตัวเค้าเองได้อย่างแน่นอนอีกทั้งองค์กรก็ไม่มีการคิดค่าเสื่อมราคาของพนักงาน เพราะเชื่อว่า คนพัฒนาได้ การที่คนอยู่ทำงานกับองค์กรไปนานๆ  มูลค่าเพิ่มของคนๆ นั้นจะเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งมูลค่าเพิ่มตรงนี้เองที่เป็นสิ่งที่ทำให้ทรัพยากรบุคคลแตกต่างกับทรัพยากรด้านอื่นๆ ซึ่งทรัพยากรด้านอื่นๆ นับวันจะมีแต่เสื่อมลง แต่ทรัพยากรคนนั้นกับเพิ่มศักยาภาพในการทำงานมากยิ่งขี้นตามกาลเวลาที่ได้ฝึกฝนเรียนรู้  และการพัฒนาทักษะนั่นเอง

ค่าแรงงาน

ค่าแรงงาน หมายถึง ค่าจ้างหรือผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือคนงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า โดยปกติแล้วค่าแรงงานจะถูกแบ่งออกเป็น ชนิด คือ ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) และค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor)

 1) ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) เป็นค่าแรงงานที่จ่ายให้กับพนักงานที่ทำหน้าที่ในการผลิตโดยตรง บอกได้อย่างชัดเจนว่าเวลาแรงงานที่ใช้ไปเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผลิตภันณ์ใดได้อย่างชัดเจน เช่น พนักงานฝ่ายผลิต โดยส่วนใหญ่แล้วจำนวนค่าแรงงานทางตรงนี้จะมีลักษณะผันแปรไปตามจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น

2) ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor) เป็นค่าแรงที่จ่ายให้กับพนักงานหรือลูกจ้างที่ทำหน้าที่ในลักษณะของการสนับสนุนการผลิต แต่ไม่ใช้ทำการผลิตสินค้า จึงไม่สามารถบอกได้ว่าก่อให้เกิดประโยชน์ทางตรงกับผลิตภัณฑ์ใด เช่น ค่าแรงงานพนักงานทำความสะอาด ค่าแรงงานพนักงานรักษาความปลอดภัย

” ดังนั้นในการคิดต้นทุนการจ้างงานนั้นจึงเป็นสิ่งที่องค์กรไม่ควรจะมองข้าม เพราะว่าจะทำให้องค์นั้นสามารถพัฒนาบุคคลกรขององค์กรได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่ตรงกับสายงานมากที่สุดนั่นเอง “

ทำความเข้าใจกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ทำความเข้าใจกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

          วันนี้พามาทบทวนทำความเข้าใจในกฎหมาย PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ว่ามีหลักการในการปฏิบัตืได้อย่างไร กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือที่รียกกันว่า PDPA นั้นเป็นกฎหมายฉบับรวมฉบับแรกที่ออกมาเพื่อควบคุมการคุ้มครองข้อมูลในประเทศไทย ที่ได้สนับสนุนศักดิ์ศรีความเป็นคน สิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคน ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามธรรมเนียมปฏิบัติ ดังนั้น เนื่องจากสิทธิในความเป็นส่วนตัวที่ได้รับการยอมรับภายใต้รัฐธรรมนูญ ทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการปกป้องจากการหาประโยชน์อย่างไม่เหมาะสมจากข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกลักษณะของตนตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ นอกจากนี้ ตามทฤษฎีแล้ว หากมีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในลักษณะที่เป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลในข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้รัฐธรรมนูญ บุคคลดังกล่าวอาจมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทย

ขอบเขตและวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

  • PDPA ใช้กับบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีการรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลธรรมดา (และยังมีชีวิตอยู่) โดยมีข้อยกเว้นบางประการ (เช่น ยกเว้นกิจกรรมในครัวเรือน)
  • PDPA ครอบคลุมการรวบรวม การใช้ การเปิดเผย และ/หรือการถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีข้อยกเว้นบางประการ (เช่น ยกเว้นกิจกรรมในครัวเรือน)
  • ในกรณีที่กิจกรรมการรวบรวม ใช้ และเปิดเผยเกี่ยวข้องกับการเสนอสินค้าหรือบริการแก่เจ้าของข้อมูลที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าเจ้าของข้อมูลจะชำระเงินหรือไม่ก็ตาม หรือ
  • โดยกิจกรรมการรวบรวม ใช้ และเปิดเผยเกี่ยวข้องกับการเฝ้าติดตามพฤติกรรมของเจ้าของข้อมูล ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย

          PDPA ใช้กับการรวบรวม การใช้ และการเปิดเผย (รวมถึงการถ่ายโอนไปยังต่างประเทศ) ของข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคลสามารถแบ่งออกเป็นข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปและข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน ซึ่งมีข้อกำหนดและการยกเว้นที่แตกต่างกัน

คำจำกัดความ PDPA

ผู้ควบคุมข้อมูล: บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจและหน้าที่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

ผู้ประมวลผลข้อมูล: บุคคลหรือนิติบุคคลที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งที่กำหนดโดยหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล โดยที่บุคคลหรือนิติบุคคลดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคล ตัวควบคุม

ข้อมูลส่วนบุคคล: ข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดา ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลดังกล่าวได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้เสียชีวิต

ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน: ข้อมูล ส่วนบุคคลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ลัทธิ ความเชื่อทางศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลด้านสุขภาพ ความทุพพลภาพ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ หรือข้อมูลใดๆ ที่อาจ กระทบต่อเจ้าของข้อมูลในลักษณะเดียว

ข้อมูลไบโอเมตริกซ์: ข้อมูล ส่วนบุคคลที่เกิดจากการใช้เทคนิคหรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการครอบงำทางกายภาพหรือพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งสามารถใช้เพื่อระบุบุคคลดังกล่าวนอกเหนือจากบุคคลอื่น เช่น ข้อมูลการจดจำใบหน้า ข้อมูลการจดจำม่านตา หรือลายนิ้วมือ ข้อมูลการรับรู้

การแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูล

          ผู้ควบคุมข้อมูลจะต้องแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้ทราบถึงการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ชักช้า และหากเป็นไปได้ แจ้งให้ทราบภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่ทราบถึงข้อมูลดังกล่าวในกรณีที่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ที่จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลจะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงเหตุการณ์การละเมิดและมาตรการแก้ไขโดยไม่ชักช้า ข้อยกเว้นจะได้รับการกำหนดเพิ่มเติมในระเบียบย่อยผู้ประมวลผลข้อมูลจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้ควบคุมข้อมูลทราบถึงการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้น

การเก็บรักษาข้อมูล

          เมื่อมีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบก่อนหรือในเวลาที่มีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในช่วงเวลาที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไว้ หากไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาดังกล่าวได้ จะต้องระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลที่คาดหวังตามมาตราการในการเก็บรักษาข้อมูล

การขอความยินยอมเก็บข้อมูลผู้เยาว์

หากเจ้าของข้อมูลเป็นผู้เยาว์ที่ (อายุต่ำกว่า 20 ปี) ผู้ควบคุมข้อมูลจะต้อง:

  • ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับผู้เยาว์ที่มีอายุระหว่าง 0 – 10
  • ได้รับความยินยอมจากผู้เยาว์เฉพาะผู้เยาว์ที่อายุมากกว่า 10 ปี แต่อายุน้อยกว่า 20 ปี สำหรับการกระทำที่ผู้เยาว์สามารถให้ความยินยอมได้ หรือ
  • ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองและความยินยอมของผู้เยาว์สำหรับผู้เยาว์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี แต่อายุน้อยกว่า 20 ปีสำหรับการกระทำที่ผู้เยาว์ไม่สามารถให้ความยินยอมได้

สิทธิของเจ้าของข้อมูล

          Data Subject Right หรือสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามกำหนด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล  ได้มีการบัญญัติถึงสิทธิของเจ้าของ Data Subject Rights ข้อมูลส่วนบุคคลไว้ 8 ประการ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  1. สิทธิในการเข้าถึงและขอรับสำเนา (Right of Access and Copy) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตัวเจ้าของข้อมูลเองซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวที่ตนไม่ได้ให้ความยินยอมไว้
  2. สิทธิในการโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Data Portability) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับเจ้าของข้อมูลจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ ในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติและสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิ ดังต่อไปนี้
  • ขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ
  • ขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่โดยสภาพทางเทคนิคไม่สามารถทำได้
  1. สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล (Right to Object) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนเมื่อใดก็ได้ ดังต่อไปนี้
  • กรณีที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมได้โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องขอความยินยอม เว้นแต่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลพิสูจน์ได้ว่า
  • การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้แสดงให้เห็นถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายที่สำคัญยิ่งกว่า
  • การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นไปเพื่อก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
  • กรณีที่เป็นการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง
  • กรณีที่เป็นการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติ เว้นแต่เป็นการจำเป็นเพื่อการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
  1. สิทธิในการขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Erasure) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลดำเนินการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
  • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
  • เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลถอนความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้ต่อไป
  • เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อาจปฏิเสธคำขอ หรือกระทำการคัดค้านได้
  • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลได้ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่กำหนดไว้ในหมวดนี้
  1. สิทธิในการขอระงับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Restriction of Processing) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
  • เมื่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในระหว่างการตรวจสอบตามที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอให้ดำเนินการตามที่เจ้าของข้อมูลร้องขอ
  • เมื่อเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องลบหรือทำลาย แต่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลขอให้ระงับการใช้แทน
  • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แต่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีความจำเป็นต้องขอให้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายการปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
  • เมื่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในระหว่างการพิสูจน์ หรือตรวจสอบ เพื่อปฏิเสธการคัดค้านของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
  1. สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (Right to Rectification) ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลดำเนินการ หากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่ดำเนินการตามคำร้องขอ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลต้องบันทึกคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลพร้อมด้วยเหตุผลไว้ในรายการตาม มาตรา 39
  2. สิทธิในการแจ้งให้ทราบของข้อมูลส่วนบุคคล (Right to be informed) เจ้าของข้อมูลมีสิทธิได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายละเอียดการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่แจ้งถึงวัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวม ระยะเวลาในการเก็บรวบรวม ช่องทางในการติดต่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น และในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลจะทำการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการประมวลผลภายหลัง ผู้ควบคุมข้อมูลต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงวัตถุประสงค์ใหม่ด้วย
  1. สิทธิในการถอดถอนความยินยอมของข้อมูล (Right to Withdraw Consent) เจ้าของข้อมูลจะใช้สิทธิในการถอนความยินยอมได้เมื่อมีการประมวลผลข้อมูลโดยใช้ฐานความยินยอมเท่านั้น โดยเจ้าของข้อมูลจะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้หากไม่มีข้อจำกัดสิทธิ และวิธีการถอนความยินยอมต้องง่ายในระดับเดียวกับวิธีการขอความยินยอมเมื่อเจ้าของข้อมูลถอนความยินยอมแล้ว ผู้ควบคุมข้อมูลจะต้องแจ้งถึงผลกระทบจากการถอนความยินยอมและต้องยุติการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว

ข้อมูลเพิ่มเติมตามมาตรา 39

มาตรา 39   ให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลบันทึกรายการ อย่างน้อยดังต่อไปนี้ เพื่อให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและสำนักงานสามารถตรวจสอบได้ โดยจะบันทึกเป็นหนังสือหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

  • ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
  • วัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท
  • ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
  • ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
  • สิทธิและวิธีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับบุคคลที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
  • การใช้หรือเปิดเผยข้อมูล
  • การปฏิเสธคำขอหรือการคัดค้าน
  • คำอธิบายเกี่ยวกับมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล

ก่อนให้ความยินยอมในการใช้ข้อมูล เจ้าของข้อมูลควรใส่ใจในการคุ้มครองข้อมูลของตนเองด้วย อาทิ

  • ไม่ด่วนยินยอมหรือให้ข้อมูล โดยที่ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดของขอบเขตการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล >> ข้อมูลใดบ้างที่จะจัดเก็บ วัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล ระยะเวลาการเก็บข้อมูล ชื่อและเบอร์ของบริษัทหรือบุคคลที่รับผิดชอบต่อการเก็บข้อมูล
  • คำนึงถึงความอิสระ และไม่มีเงื่อนไขแอบแฝงโดยต้องไม่นำการให้ความยินยอมมาเป็นเงื่อนไขในการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  • ควรเก็บ/บันทึกหลักฐาน เผื่อใช้ในการร้องเรียนในกรณีที่พบว่าข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยอาจถ่ายภาพหรือขอสำเนาเอกสารการให้ความยินยอม
  • ระมัดระวังการให้ข้อมูลและการเปิดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล แก่เว็บไซต์/แอปพลิเคชัน ที่มีการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล โดยให้พิจารณาตามความจำเป็น โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการเงิน เช่น การให้ข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ สำหรับแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้เป็นประจำ อาจเลือกให้ข้อมูลเพื่อใช้ครั้งเดียวและไม่ให้บันทึกข้อมูลบัตรไว้ในระบบ เป็นต้น

บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม PDPA

          หากในกรณีที่บุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้มีการร้องขอตามสิทธิเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ตามที่จะได้รับสิมธิแล้ว แต่องค์กรธุรกิจยังมีการเพิกเฉยไม่มีการปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องพิจารณาตามคำร้องและดำเนินการตามคำร้องของเจ้าของข้อมูลเพื่อให้เป็นไปตามสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนดแล้วนั้น และถ้าธุรกิจไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กฎหมายกำหนด จนก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกละเมิดและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดก็อาจจะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจได้ ดังนั้นแล้วระเบียบกฎหมาย PDPA จึงได้มีการกำหนดบทลงโทษเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกฎหมาย กฎหมาย PDPA จึงได้มีการกำหนดโทษไว้ 3 ส่วนด้วยกัน คือ โทษทางแพ่ง โทษทางอาญา และโทษทางปกครอง ดังนี้

โทษทางแพ่ง

          หากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เจ้าของข้อมูลเสียหายจะต้องชดใช้  “ค่าสินไหมทดแทน” ไม่ว่าการดำเนินการที่ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นจะเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ** โดยมีข้อยกเว้น คือ พิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัย เกิดจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติตามอำนาจของกฎหมาย **

  • ค่าสินไหมทดแทน จ่ายสินไหมไม่เกิน 2 เท่าของสินไหมที่แท้จริง
  • อายุความ 3 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงความเสียหาย และรู้ตัวผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องรับผิด หรือ 10 ปีนับแต่วันที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

โทษทางอาญา

        โทษทางอาญาแบ่งออกเป็น การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นข้อมูลอ่อนไหวโดยปราศจากฐานทางกฎหมาย ทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความ อับอาย และการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นข้อมูลอ่อนไหวโดยปราศจากฐานทางกฎหมาย เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

  • โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

6 ข้อเท็จจริง โทษอาญา กฎหมาย PDPA

  1. PDPA มีบทลงโทษอาญา เพื่อปกป้องประชาชนจาก “มิจฉาชีพ หรือ ผู้ประสงค์ร้าย” กรณีมีการนํา ข้อมูลอ่อนไหวดังนี้ “เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการ เมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนา หรือ ปรัชญา พฤติกรรมทาง เพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิกาs ข้อมูล สหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ” ของประชาชนไปใช้ ทําให้เกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือ หาผลประโยชน์แบบผิดกฎหมาย
  2. กรณีใช้ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวทําให้เกิด ความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง โทษสูงสุดจําคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
  3. กรณีใช้ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าว หาผลประโยชน์ แบบผิดกฎหมาย โทษสูงสุดจําคุก 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
  4. การลงโทษอาญาต้องพิจารณา จากข้อเท็จจริงและองค์ประกอบ อาทิ เจตนาของการกระทํา และ การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ถูกต้อง ตามกฎหมาย
  5. การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ทั่วไป เช่น ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่อาศัย หมายเลvประจําตัว ไม่เข้าองค์ประกอบโทษอาญา ตามมาตรา 79
  6. ข้อมูลส่วนบุคคลสามารถถูกนําไปใช้หรือเปิดเผยได้หากได้รับความยินยอม จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือเป็นไปตามกรณีดังต่อไปนี้
  • เป็นข้อมูลที่จําเป็นต้องใช้ในการทําตามสัญญาให้บริการ
  • เป็นการใช้ข้อมูลที่มีกฎหมายอื่นให้อํานาจไว้
  • เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือ ร่างกายของบุคคล
  • เป็นการใช้เพื่อการศึกษาวิจัยหรือสถิติ
  • เป็นการใช้ตามหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ
  • เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

โทษทางปกครอง

โทษทางปกครอง จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ โทษของผู้ควบคุมข้อมูล, โทษของผู้ประมวลผลข้อมูล และโทษทางปกครองอื่นๆ

โทษของผู้ควบคุมข้อมูล

  • การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากฐานทางกฎหมาย
  • การไม่ขอความยินยอมให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่แจ้งผลกระทบจากการถอน ความยินยอม
  • การเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลผิดไปจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้โดยไม่ได้แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่หรือมีกฎหมายให้ทำได้
  • การเก็บรวบรวมข้อมูลเกินไปกว่าที่จำเป็นภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
  • การเก็บข้อมูลจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของข้อมูลโดยตรงที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
  • การขอความยินยอมที่เป็นการหลอกลวงหรือทำให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเข้าใจผิดในวัตถุประสงค์
  • การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย การโอนข้อมูลอ่อนไหวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • การไม่แจ้งเจ้าของข้อมูลทั้งในกรณีเก็บข้อมูลจากเจ้าของข้อมูลโดยตรงหรือโดยอ้อม
  • การไม่ให้เจ้าของข้อมูลเข้าถึงข้อมูลตามสิทธิ
  • การไม่ดำเนินการตามสิทธิคัดค้านของเจ้าของข้อมูล
  • การไม่จัดให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • การไม่จัดให้มีการสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วน บุคคลอย่างเพียงพอ
  • การโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • การไม่จัดให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม การไม่จัดให้ มีระบบตรวจสอบเพื่อลบทำลายข้อมูลหรือไม่ปฏิบัติสิทธิในการลบเมื่อถอนความ ยินยอมหรือตามสิทธิในการขอลบข้อมูล

โทษของผู้ประมวลผลข้อมูล

  • การไม่จัดให้มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือการไม่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเพียงพอ
  • การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล การไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม การไม่จัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผล
  • การโอนข้อมูลไปต่างประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • การไม่ตั้งตัวแทนในราชอาณาจักรในกรณีที่กฎหมายกำหนด
  • การโอนข้อมูลอ่อนไหวไปต่างประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โทษทางปกครองอื่น ๆ

  • ตัวแทนของผู้ควบคุมข้อมูลหรือผู้ประมวลผลข้อมูล ไม่จัดให้มีบันทึกรายการประมวลผลข้อมูล
  • ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่มาชี้แจงข้อเท็จจริง หรือไม่ส่งข้อมูลให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ
  • โทษทางปกครองปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท

สามารถอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA และสายงาน HR    คลิ๊ก!!!