Negative Self-Talk การพูดกับตัวเองในทางลบ ส่งผลกับตัวเราอย่างไรบ้าง ?
Negative Self-Talk การพูดคุยกับตนเองแง่ลบคืออะไร?
การพูดถึงตัวเองในแง่ลบหมายถึงการมีความคิดที่เป็นลบ การวิจารณ์ตนเอง หรือแม้แต่การกดดันตัวเองในทางลบที่เกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง, รูปลักษณ์, ค่าความนิยมของตนเอง, และแม้แต่คุณค่าของตนเองในฐานะบุคคลทั่วไป การพูดถึงตัวเองในแง่ลบสามารถทำให้เราเสียความเชื่อมั่นในตนเอง สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง รวมไปถึงเสียสุขภาพจิตอีกด้วย
โดยทั่วไปสาเหตุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในด้านอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในด้านวิชาการ ด้านอาชีพ มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ เมื่อการพูดคุยกับตนเองในเชิงลบกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้ ผู้คนทั่วไปมักจะสามารถแก้ไขได้ด้วยเทคนิคง่ายๆ สองสามข้อไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับตนเองในเชิงบวก แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งการขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตก็จำเป็นและเกิดเป็นประโยชน์ได้
ประเภทของการพูดคุยกับตนเองในแง่ลบ
การพูดกับตัวเองในแง่ลบสามารถมีได้หลายรูปแบบ จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เราเจอ เพราะบางครั้งคำพูดที่เราใช้พูดกับตัวเองก็ไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่ เนื่องจากเรานั้นสื่อสารกับตัวเองเกือบตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องติดตามดูว่าเรามีท่าทีอย่างไรกับตนเองเมื่อเราหยุดฟังวิธีที่เราพูดกับตนเอง เราสามารถจับช่วงเวลาที่เรากำลังสื่อสารกับตนเองในทางลบ และเราสามารถปรับเปลี่ยนภาษาของเราให้เป็นเชิงบวกกับตนเองมากขึ้น การพูดคุยกับตนเองในแง่ลบสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งอาจมีลักษณะต่อไปนี้:
- การวิจารณ์ตนเองแบบทั่วไป: การวิจารณ์ตนเองแบบทั่วไปนั้นคือการใช้คำวิจารณ์หรือการวิเคราะห์ตนเองอย่างละเอียดโดยนึกถึงแต่ข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่คิดว่าตนเองมี อย่างเช่น “ฉันไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับคนอื่น” หรือ “ฉันไม่มีคุณค่าเท่าคนอื่น” เนื่องจากการวิจารณ์ตนเองแบบทั่วไปมักเกิดจากการที่เรามองข้ามในคุณค่าและความสำเร็จของเราเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและสัมพันธ์กับตนเองรวมถึงสูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย
- การพูดคุยกับตนเองที่สิ้นหวังหรือหดหู่: การพูดคุยกับตนเองที่สิ้นหวังหรือการสร้างความหดหู่ให้กับตนเองหมายถึงการมีบทสนทนาหรือการพูดคุยกับตนเองในลักษณะที่สร้างความเศร้าหรือท้อแท้ต่อสถานการณ์ที่ตนเองพบเจอ และการที่เราพูดถึงแต่ความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ให้ความสนใจในความสำเร็จหรือความเจริญก้าวหน้าของตนเอง หรือแม้แต่การที่มักจะใช้คำพูดกับตนเองในเชิงลบตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นคำพูดประเภทที่ “ฉันทำอะไรก็ไม่สำเร็จเลย” หรือ “ฉันเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าในตนเองเลย” ซึ่งยิ่งเราใช้คำพูดแบบนี้กับตนเองเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งส่งผลเสียกับตนเองในเชิงลบอาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิตเราอีกด้วย
- การพูดคุยกับตนเองอย่างวิตกกังวล: การพูดคุยกับตนเองอย่างวิตกกังวลหมายถึงการมีการสนทนาหรือพูดคุยกับตนเองที่เน้นความกังวล ความเป็นห่วงหรือความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หรือกังวลเกี่ยวกับความสำเร็จที่ยังมาไม่ถึง รวมถึงการคาดเดาเหตุการณ์ที่แย่ คุณอาจพูดถึงสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่ก็กังวลว่ามันจะเป็นอย่างไร เช่น “อาจมีปัญหาใหญ่กำลังรออยู่เบื้องหลัง” หรือ “ฉันกลัวว่าฉันจะล้มเหลวในการทำงาน”

การพูดกับตัวเองในแง่ลบจะส่งผลเสียยังไง?
การพูดกับตัวเองในแง่ลบสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและความเชื่อมั่นของคุณได้ในหลายด้าน:
- ความเชื่อมั่นที่ลดลง: การพูดกับตัวเองในแง่ลบอาจทำให้ความเชื่อมั่นของคุณลดลงอย่างสิ้นหวัง โดยคุณอาจเริ่มเชื่อว่าคุณไม่มีความสามารถหรือคุณคือคนที่ล้มเหลวตลอดเวลา ทำให้คุณไม่มั่นใจในการท้าทายหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- สุขภาพจิตที่เสียหาย: การพูดถึงตัวเองในแง่ลบอาจทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของความเศร้าหรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับวิตกกังวล การมีความคิดเชิงลบต่อตัวเองเป็นระยะยาวอาจทำให้คุณรู้สึกทุกข์ใจหรือไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต
- การกดดันตนเองในทางลบ: การพูดกับตัวเองในแง่ลบอาจสร้างความกดดันที่ไม่จำเป็นและเครียดในชีวิตประจำวัน คุณอาจรู้สึกไม่สบายใจหรือตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากความคิดเชิงลบที่คุณสร้างขึ้น
- ความสัมพันธ์ที่เสียหาย: การพูดถึงตัวเองในแง่ลบอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย เพราะในบางครั้งการที่เราคิดแต่เรื่องลบ ๆ อาจจะส่งผลให้คนรอบข้างไม่อยากที่จะอยู่ร่วมด้วย หรือสานสัมพันธ์ด้วย

วิธีที่จะลด Negative Self-talk ลงได้
การลด Negative Self-talk นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม ดังนั้นนี่คือวิธีที่คุณสามารถลด Negative Self-talk ลงได้:
- ตระหนักถึงพฤติกรรมการพูดเชิงลบ: เริ่มต้นโดยการตระหนักถึงพฤติกรรมของคุณในการพูดเชิงลบกับตนเอง รับรู้และระบุว่าcคุณมักพูดอะไรและในสถานการณ์ใดที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีต่อตนเอง การตระหนักถึงพฤติกรรมการพูดเชิงลบเป็นขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงและลดปัญหาการพูดเชิงลบกับตนเองเฝ้าระวังคำพูดที่คุณใช้ต่อตนเอง สังเกตถึงคำพูดที่มีลักษณะเป็นลบ อาจเป็นคำตำหนิ คำวิจารณ์หรือคำที่ก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่น
- เปลี่ยนแปลงคำพูด: เมื่อคุณรับรู้ถึงพฤติกรรมการพูดเชิงลบ พยายามเปลี่ยนแปลงคำพูดให้เป็นบวก ตั้งคำถามเชิงบวกเพื่อช่วยให้คุณมองเห็นด้านบวกและคุณค่าของตนเองเริ่มต้นโดยการตระหนักถึงคำพูดเชิงลบที่คุณใช้ต่อตนเอง รับรู้และระบุว่าคำพูดใดที่มีลักษณะเชิงลบและมีผลกระทบต่อความรู้สึกและความเชื่อมั่นของคุณเมื่อคุณตระหนักถึงคำพูดเชิงลบ พยายามเปลี่ยนแปลงคำพูดให้เป็นคำพูดเชิงบวก ใช้ประโยคที่สนับสนุนและกระตุ้นให้คุณมีความเชื่อมั่น เช่น “ฉันทำได้” หรือ “ฉันเป็นคนที่มีคุณค่า”
- สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนตนเอง: ความสนับสนุนจากบุคคลอื่นสามารถช่วยลดปัญหาการพูดเชิงลบกับตนเองได้ อย่างไรก็ตาม หากคุณรับรู้ว่าคุณมีคนในชีวิตคุณที่มีนิสัยเชิงลบ พยายามลดการมีส่วนร่วมของพวกเขาในชีวิตของคุณ และพยายามเชื่อมต่อกับสิ่งที่เพิ่มความสุขในชีวิตคุณ เช่น การอ่านหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจ การฟังเพลงที่ชื่นชอบ การฝึกสมาธิ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่คุณรักชอบ
- ฝึกฝนให้มีสติ: การฝึกฝนตนเองให้มีสติ เป็นกระบวนการที่สามารถช่วยเพิ่มสติต่อความรู้สึกและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เมื่อคุณมีความสนใจในปัจจุบัน ลองศึกษาตัวคุณเองอย่างเจาะจง สังเกตความรู้สึกและความคิดที่เกิดขึ้นภายในตนเองโดยไม่ตัดสินใจหรือวิจารณ์พยายามเข้าใจความรู้สึกและประสบการณ์ของตนเองโดยไม่ใส่ความเห็นหรือการตัดสินใจ เป็นการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยความเป็นเข้าใจ
“การพูดเชิงบวกกับตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความสุขในชีวิต เลือกใช้คำพูดที่สร้างแต่พลังบวกและแรงบันดาลใจ อย่าให้คำพูดติดลบคว่ำใจคุณ”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
Future Skill ที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
ชีวิตในยุคเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลต่อทุกด้านของชีวิตเรา ตั้งแต่การเรียนรู้และการทำงาน ไปจนถึงการสื่อสารและการจัดการเงิน ด้วยเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น ยุคของ AI ที่เป็นยุคที่เทคโนโลยี AI ได้รับการพัฒนามากขึ้นและมีผลต่อชีวิตของคนในทุกด้าน จากการทำงานของระบบปฏิบัติการ การสร้างภาพจำลอง การสร้างหุ่นยนต์ การแก้ไขปัญหาด้วย AI และการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI เป็นต้น

AI คืออะไร?
เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) คือ เทคโนโลยีที่อ้างถึงการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือระบบที่สามารถทำงานเหมือนมนุษย์ หรือมีฟังก์ชันการทำงานที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ได้ เทคโนโลยี AI ประกอบด้วยหลายแนวทาง เช่น
- การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) – เป็นเทคนิคในการสร้างโมเดลและการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) โดยใช้โครงข่ายประสาทเทียม (Artificial Neural Networks) ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อให้สามารถแยกแยะและวิเคราะห์ข้อมูลได้มากขึ้น โดย Deep Learning นั้นมีการเรียนรู้โดยอิงจากข้อมูลจำนวนมากและเรียนรู้ด้วยตนเอง Deep Learning เป็นเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตนเองได้ตลอดเวลา ดังนั้นสามารถนำไปใช้กับงานที่มีข้อมูลมากๆ เพื่อให้สามารถสร้างโมเดลที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้
- การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) – เป็นสาขาของปัญญาประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานกับภาษามนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยีและอัลกอริทึมที่ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้ เช่น การแปลภาษา การสร้างโมเดลสำหรับสนทนา การวิเคราะห์เสียงพูด และการสร้างและประมวลผลข้อมูลจากเอกสารภาษาธรรมชาติ เป็นต้น การประมวลผลภาษาธรรมชาติมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ Siri หรือ Alexa ในการควบคุมอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต การใช้งานโปรแกรมแปลภาษาในการติดต่อกับคนอื่นที่พูดภาษาต่างประเทศ และการใช้โปรแกรมสร้างเนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น
- หุ่นยนต์และอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) – การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการพัฒนาหุ่นยนต์และอุปกรณ์ IoT ทำให้เครื่องมือเหล่านี้สามารถเรียนรู้และปรับตัวเองให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้นตามเวลา และเป็นไปตามศักย์ภาพการใช้งาน อุปกรณ์ IoT สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น อุปกรณ์เชื่อมต่อบ้าน (Smart Home) ที่ช่วยควบคุมและควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้าน เช่น หลอดไฟ แอร์ และหน้าต่าง รวมถึงอุปกรณ์ในรถยนต์ (Smart Car) และอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical IoT) เช่น อุปกรณ์ตรวจสุขภาพผู้ป่วยแบบพกพา ฯลฯ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกสบาย และมีความสะดวกในการใช้งาน
- การมองเห็นและประมวลผลภาพ (Computer Vision) – เป็นการให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการตรวจจับและวิเคราะห์ภาพและวิดีโอ เพื่อที่จะแยกแยะและระบุวัตถุ รูปร่าง สีสัน และคุณสมบัติอื่น ๆ ของภาพ ซึ่งอาจจะทำได้ด้วยการใช้ระบบประมวลผลภาพที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถรู้จำและสกัดลักษณะต่าง ๆ ของภาพ ได้แก่การตรวจจับวัตถุ การค้นหาวัตถุ การจัดหมวดหมู่ภาพ การตรวจสอบความเหมาะสมของภาพ การตรวจสอบสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในภาพ เป็นต้น
การเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นทักษะที่สำคัญในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในงานและธุรกิจที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ทักษะเหล่านี้ควรจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถเข้ากับตลาดแรงก้าวหน้าได้ การตระหนักรู้ภัยคุกคามทางดิจิทัลเป็นทักษะที่สำคัญในปัจจุบัน เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นการตระหนักรู้ภัยคุกคามทางดิจิทัลนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

Future Skill ที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
AI ยังไม่มีทักษะบางอย่างที่มนุษย์มีอยู่ เนื่องจาก AI ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประมวลผลข้อมูลและการทำงานที่ซับซ้อน แต่ยังขาดทักษะหรือความสามารถต่อไปนี้:
- ความคิดสร้างสรรค์: AI ยังไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ ๆ หรือแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ อย่างไรก็ตาม เครื่องมือ AI สามารถทำงานเชิงคำนวณและแยกแยะรูปภาพได้เป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถสร้างงานศิลปะหรืองานที่ต้องใช้การสร้างสรรค์และความคิดสร้างสรรค์ได้ เพราะตอนนี้ AI ยังไม่สามารถมีความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่เหมือนมนุษย์ได้ เนื่องจาก AI ยังขาดความสามารถในการสร้างแนวคิดอย่างมีความสร้างสรรค์และหลากหลายเหมือนมนุษย์ได้ ซึ่งความสามารถในการคิดและสร้างสิ่งใหม่ ๆ ของมนุษย์เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ การเรียนรู้ และการจินตนาการที่มนุษย์มี ซึ่ง AI ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่เพราะความจำเป็นต้องมีความเข้าใจในมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างแนวคิดอย่างมีความสร้างสรรค์
- ความรู้สึกและความเห็นอกเห็น:ในปัจจุบัน AI ยังไม่มีความรู้สึกหรือความเห็นอกเห็นเหมือนมนุษย์ได้ เนื่องจาก AI เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประมวลผลข้อมูลตามโปรแกรมและขั้นตอนการทำงานที่ถูกกำหนดไว้ โดยไม่มีความสามารถในการมีความคิดเห็นหรือความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้เช่นเดียวกับมนุษย์ อย่างไรก็ตามในอนาคต AI อาจมีความสามารถในการจำลองความรู้สึกหรือความเห็นอกเห็นของมนุษย์ได้ เพื่อช่วยในการประมวลผลและตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
- ความสามารถทางกายภาพ: AI ยังไม่มีความสามารถทางกายภาพเช่นการเคลื่อนไหว การรับรู้การสัมผัส หรือการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม เพราะ AI ถูกออกแบบเพื่อการประมวลผลข้อมูลและการเรียนรู้จากข้อมูลเท่านั้นและเป็นระบบซอฟต์แวร์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์หรือ Server ที่รันโปรแกรมเพื่อประมวลผลข้อมูล แต่อย่างไรก็ตาม AI อาจถูกปรับให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ทำงานทางกายภาพ เช่น หุ่นยนต์ หรือดรอน ซึ่งอาจช่วยในการประมวลผลและการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกัน AI ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือการกระทำอะไรทางกายภาพเช่นการเดิน กระโดด หรือการดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ ซึ่งจะต้องใช้ร่างกายหรือชิ้นส่วนเคลื่อนที่จริง ๆ ด้วย
- การมีความรู้สึกและความเข้าใจทางอารมณ์: AI ยังไม่สามารถมีความรู้สึกและความเข้าใจทางอารมณ์ได้เหมือนกับมนุษย์ เนื่องจากมันยังไม่มีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้คนในทุกสถานการณ์เพราะในปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถมีความรู้สึกและเข้าใจทางอารมณ์ได้ ดังนั้นการแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของมนุษย์จะยังคงเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะทางที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และใช้ข้อมูลที่ได้รับการเข้ารหัสเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการรับรู้และตอบสนองต่ออารมณ์หรือความรู้สึกของมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม มีการวิจัยในด้านนี้ที่กำลังพัฒนาขึ้นอยู่และอาจเป็นที่น่าสนใจในอนาคต
- การสื่อสารมนุษย์: การเชื่อมโยงและสื่อสารกับคนอื่นเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำได้อย่างที่มนุษย์ทำได้ เนื่องจากมีปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อการสื่อสารเพราะ AI ไม่มีความสามารถในการรับรู้หรือแสดงอารมณ์เหมือนมนุษย์ได้เพราะไม่มีความรู้สึกและอารมณ์เหมือนมนุษย์ แต่บาง AI ก็สามารถจำลองการประพฤติกรรมของมนุษย์เมื่ออยู่ในสถานการณ์บางอย่างได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแสดงอารมณ์เหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
ความสามารถในการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงในยุค AI
การปรับตัวและความยืดหยุ่นกับ AI เป็นทักษะที่สำคัญในสมัยปัจจุบัน เนื่องจากเทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นการมีความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นกับ AI จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เราสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพดังนั้นการยอมรับความเปลี่ยนแปลงกับ AI เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เราสามารถใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้คือ:
- การเรียนรู้และปรับตัว: เพื่อที่จะให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวตามการใช้งานของ AI โดยต้องเรียนรู้การใช้งานร่วมกับ AI และต้องปรับตัวตามแนวโน้มของการใช้งาน AI ในอนาคต
- การสื่อสารและการทำงานร่วมกับ AI: เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการสื่อสารและการทำงานร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาที่เข้าใจได้ทั้งคู่ เพื่อทำงานร่วมกันได้ดี
- การเข้าใจและปรับตัวตามข้อมูล: เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเข้าใจและปรับตัวตามข้อมูลที่ได้รับจาก AI และต้องปรับตัวตามแนวโน้มของข้อมูลที่ได้รับ
- ตระหนักถึงความจำเป็นของ AI: การตระหนักรู้ถึงความจำเป็นของ AI เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ AI มีความสามารถในการช่วยเราทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้น เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลในธุรกิจ การแก้ไขปัญหาของผู้ใช้ในอินเตอร์เน็ต การพัฒนาระบบการตัดสินใจในการลงทุน และอื่นๆ

ข้อดี ข้อเสียของ AI
AI มีข้อดีหลายอย่างดังนี้
- ความแม่นยำ: ระบบ AI สามารถจำแนกและตรวจสอบข้อมูลได้มากขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากกว่ามนุษย์
- ความเร็ว: ระบบ AI สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วกว่ามนุษย์
- การประหยัดเวลาและทรัพยากร: AI สามารถทำงานเป็นอัตโนมัติและประหยัดเวลาและทรัพยากร
- การทำงานตลอดเวลา: AI สามารถทำงานตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์โดยไม่ต้องหยุดพัก
- ความสามารถในการเรียนรู้: ระบบ AI สามารถเรียนรู้และปรับปรุงผลลัพธ์ได้เอง
- ลดความเสี่ยง: การใช้ AI สามารถลดความเสี่ยงในการตัดสินใจทางธุรกิจและการบริหารจัดการเพราะสามารถใช้ข้อมูลที่แม่นยำเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: การใช้ AI สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างงานและอุปกรณ์ที่ต้องใช้งาน
- ความคิดสร้างสรรค์: การใช้ AI สามารถสร้างไอเดียและนวัตกรรมใหม่ๆได้เนื่องจากมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและค้นหาความสัมพันธ์ของข้อมูลอย่างละเอียด
นอกจากที่ AI จะมีข้อดีมากมายในเรื่องต่างๆ แล้วนั้นก็ย่อมมีเสียในบางเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นหรือพบเจอกันได้ อย่างเช่น
- การเสี่ยงความเป็นส่วนตัว: การใช้งาน AI บนข้อมูลส่วนบุคคลสามารถสร้างความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวได้ ซึ่งอาจเกิดเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล และการใช้งานข้อมูลส่วนตัวอาจเป็นการละเมิดกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัว
- การสร้างความไม่เท่าเทียมกัน: AI สามารถสร้างความไม่เท่าเทียมกันได้ เนื่องจากข้อมูลที่ส่งเข้าไปในระบบ AI อาจมีการถูกเลือกและใช้งานในทางที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการใช้ชีวิตและการทำงานของบุคคล และอาจเพิ่มความไม่เชื่อถือได้ของการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตของบุคคลหรือกลุ่มคนในสังคม
- ผลกระทบต่อตำแหน่งงาน: AI อาจเป็นอันตรายต่อตำแหน่งงานบางอย่าง เนื่องจากสามารถทำงานเป็นอัตโนมัติและปรับปรุงประสิทธิภาพงานได้มากขึ้น และสามารถแทนที่การทำงานของมนุษย์ได้
- ความไม่แม่นยำ: อย่างไรก็ตาม ระบบ AI ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำเสมอได้ อาจมีความผิดพลาดในการวิเคราะห์และการตัดสินใจ
- การสื่อสารภาษาธรรมชาติ: แม้ว่า AI จะสามารถแปลภาษาได้ แต่ยังไม่สามารถเข้าใจและสื่อสารภาษาธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เช่น การติดต่อสื่อสารในธุรกิจ การแก้ไขปัญหาในการทำงาน และการสื่อสารในการรับบริการลูกค้า
“…ชีวิตในยุค AI หมายถึงการมีการใช้เทคโนโลยีและความช่วยเหลือจาก AI ในชีวิตประจำวัน โดยที่ AI จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือและประสานงานกับมนุษย์ ตั้งแต่การใช้ AI ในการตัดสินใจธุรกิจ การดูแลสุขภาพ การศึกษา การให้บริการทางการเงิน การพัฒนาการเมือง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และอื่นๆ ทั้งนี้ AI จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับมนุษย์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในด้านต่างๆ อย่างไรก็ตาม การพัฒนา AI ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและการทำงานของมนุษย์ด้วย…”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
การสร้างเป้าหมายในชีวิตสำคัญอย่างไร ?
การสร้างเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในชีวิตหรือเป้าหมายในการทำงาน ย่อมมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้คุณมีทิศทาง มีสมาธิ และมีจุดมุ่งหมาย ในการดำเนินชีวิตแล้ว มาดูกันว่าทำไมการตั้งเป้าหมายจึงมีความสำคัญกับชีวิต และการทำงานของเรา

1. การตั้งเป้าหมาย: การที่เรากำหนดเป้าหมายนั้นจะช่วยให้เรารู้ถึงสิ่งที่เราต้องการจะเป็นไปหรือทำให้เราสามารถบรรลุและให้เส้นทางที่ชัดเจนกับชีวิต เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่เราประสบความสำเร็จได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญของเวลา พลังงานชีวิต และทรัพยากรของเราเพื่อไปสู่สิ่งที่สำคัญที่สุดตามที่วางแผนไว้

2. สร้างแรงจูงใจ: จำไว้ว่าทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายและความพ่ายแพ้ในชีวิต แต่วิธีที่เราจะตอบสนองต่ออุปสรรคเหล่านั้นได้คือการที่เรานั้นกำหนดตัวตนของเราอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะกำลังเผชิญกับงานที่ยากลำบาก หรือแม้แต่อุปสรรคในการใช้ชีวิต สิ่งสำคัญคือเราต้องมีแรงจูงใจและจดจ่อกับเป้าหมายของเรา และอีกวิธีหนึ่งที่จะเป็นส่วนช่วยในการสร้างแรงจูงใจนั้นคือการที่เราแบ่งเป้าหมายออกเป็นลำดับขั้น ที่เรานั้นสามารถจัดการได้มากขึ้น วิธีนี้จะทำให้ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและช่วยให้เรานั้นจดจ่อกับหน้าที่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และนอกจากนี้ การกำหนดไทม์ไลน์ต่าง ๆ และกำหนดเวลาที่เหมือนจริงจะสามารถให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น

3. กล้าตัดสินใจ: เมื่อเรามีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วนั้น ในเรื่องของการกล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ก็จะง่ายขึ้น และเราจะสามารถประเมินตัวเลือกต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และพิจารณาจากวิธีที่จะช่วยให้เรานั้นสามารถบรรลุเป้าหมายได้ การตัดสินใจอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากเราอาจรู้สึกว่ามีตัวเลือกมากมายหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงการตัดสินใจอาจทำให้พลาดโอกาสหรือชะงักในชีวิตส่วนตัวและอาชีพของเรา

4. สร้างความมั่นใจ: การสร้างความมั่นใจเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตและความสำเร็จในของชีวิตได้ เพราะการที่เรานั้นมีความเคารพนับถือต่อตนเองมันจะแสดงให้เห็นว่าเรามีความสามารถในการควบคุมชีวิตของเราและทำการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้ดียิ่งขึ้นเพียงใด การสร้างความมั่นใจเป็นอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายาม จงฝึกฝนความอดทน และอย่ายอมแพ้หากเราเผชิญกับความพ่ายแพ้ระหว่างทาง ด้วยการฝึกฝนและความทุ่มเท เราสามารถสร้างความมั่นใจและบรรลุเป้าหมายได้

5. วัดความก้าวหน้า: การวัดความก้าวหน้าของเป้าหมายอย่างเป็นขั้นตอน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายของเรา หมั่นวัดความก้าวหน้าของเราเป็นประจำ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน สิ่งนี้จะช่วยให้เราติดตามและปรับเปลี่ยนแผนได้ตามที่ต้องการ หากเกิดข้อผิดพลาดในการวางแผน ให้เตรียมเราเตรียมปรับแนวทาง และประเมินเป้าหมายรวมถึงแผนการดำเนินการของเราอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงเป็นไปได้จริงและสามารถบรรลุผลตามเป้าหมายได้
ดังนั้น การสร้างเป้าหมายมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นการกำหนดทิศทาง แรงจูงใจ และจุดมุ่งหมาย แถมยังช่วยให้เรานั้นจัดลำดับความสำคัญของเวลาและทรัพยากรของเราไปสู่สิ่งที่สำคัญที่สุด และให้เส้นทางที่ชัดเจนในการบรรลุความสำเร็จและความสมหวังในชีวิตและการทำงานได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเราจะสร้างเป้าหมายในการทำงานควรเริ่มอย่างไรดี………มาดูวิธีการสร้างกันเลย
วิธีสร้างเป้าหมายในการทำงาน
การสร้างเป้าหมายในการทำงานสามารถช่วยให้เรามีสมาธิ มีแรงบันดาลใจ และประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่จะช่วยคุณสร้างเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
- Review your job Description ตรวจสอบรายละเอียดงานของคุณ: ขั้นตอนแรกในการสร้างเป้าหมายในการทำงานคือการตรวจสอบรายละเอียดงานและทำความเข้าใจกับความรับผิดชอบและความคาดหวังของคุณ วิธีนี้จะช่วยคุณระบุด้านที่คุณสามารถปรับปรุงและกำหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องได้ว่ารายละเอียดทั้งหมดเป็นอย่างไรในภาพรวม
- Identify Areas for Improvement ระบุด้านที่ต้องปรับปรุง: มองหาด้านที่คุณสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน พัฒนาทักษะใหม่ หรือรับภาระหน้าที่มากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพ การเรียนรู้ซอฟต์แวร์ใหม่ หรือรับบทบาทเป็นผู้นำ หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องด้านอื่นๆที่จำเป็น หรือเป็นสิ่งใหม่ที่จำเป็นต่องานของคุณ
- Make them Specific and Measurable ทำให้เฉพาะเจาะจงและสามารถวัดผลได้: เมื่อกำหนดเป้าหมายการทำงาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจาะจงและวัดผลได้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะกำหนดเป้าหมายเป็น “ปรับปรุงประสิทธิภาพ” ให้ตั้งเป้าหมายเป็น “ลดเวลาที่ใช้ในการทำงานให้เสร็จลง 20% ภายในไตรมาสถัดไป” เป็นต้นเพื่อสร้างตัวชี้วัดต่อเป้าหมายของคุณได้
- Make them Challenging but Achievable ทำให้ท้าทายแต่ทำได้: เป้าหมายในการทำงานควรท้าทายพอที่จะกระตุ้นคุณ ให้รู้สึกตื่นเต้นต่อสิ่งใหม่ที่จะทำ แต่ก็ทำให้สำเร็จได้เช่นกัน ควรตั้งเป้าหมายที่ดึงคุณออกจากเขตสบาย ๆ แต่ก็ยังเป็นจริงได้
- Break them Down into Smaller Steps แบ่งย่อยออกเป็นขั้นตอน: แบ่งเป้าหมายการทำงานออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่จัดการได้ อาจทำให้หนักใจน้อยลงและบรรลุผลได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้คุณติดตามความคืบหน้าและมีแรงจูงใจอยู่เสมอ มีผลเป็นด้านบวกต่อจิตใจ และสามารถสร้างผลงานได้มากยิ่งขึ้น
- Set a Deadline กำหนดเส้นตาย: การกำหนดเส้นตายสามารถช่วยให้คุณมีสมาธิและมีแรงบันดาลใจ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากำหนดเวลาของคุณเป็นจริงและบรรลุผลได้ ว่าควรจะเร่ง หรือลดความเร็วอย่างไรในช่วงขั้นตอนไหนและสามารถบรรลุผลสำเร็จได้จริง
- Share your Doals แบ่งปันเป้าหมายของคุณ: แบ่งปันเป้าหมายการทำงานของคุณกับหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือที่ปรึกษา สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณมีความรับผิดชอบและรับคำติชมเกี่ยวกับวิธีการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น ว่าเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ควรปรับลดส่วนไหนนั่นเอง
- Review and Adjust as Needed ทบทวนและปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น: เป้าหมายไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัวลองทบทวนเป้าหมายการทำงานของคุณเป็นประจำและปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น สิ่งนี้จะช่วยให้คุณติดตามและก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายของคุณได้อย่างถูกทาง และถูกต้องด้วย
“…โปรดจำไว้ว่าเป้าหมายในการทำงานควรสอดคล้องกับเป้าหมายโดยรวมขององค์กรและนำไปสู่ความสำเร็จ เมื่อตั้งเป้าหมายการทำงาน อย่าลืมว่าเป้าหมายเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทและช่วยให้คุณเติบโตในอาชีพการงานได้ และเป็นตัวช่วยเพิ่มศักยภาพในตัวคุณอีกด้วย…”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
รู้จัก วิธีรับมือกับ Toxic People มลภาวะคนเป็นพิษ
อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า… คนที่เป็น Toxic People คือบุคคลที่ส่งผลเสียต่ออารมณ์และจิตใจของคนรอบข้าง พวกเขามักมีลักษณะเฉพาะจากพฤติกรรมที่เป็นอันตราย แนวโน้มการบิดเบือน และการมองชีวิตในแง่ลบ คนเป็นพิษสามารถพบได้ในสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงในความสัมพันธ์ส่วนตัว ในที่ทำงาน หรือภายในกลุ่มทางสังคม พวกเขาอาจแสดงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายหลายอย่าง เช่น การโกหก การจุดไฟ และการบงการทางอารมณ์ เพื่อควบคุมและชักจูงผู้อื่น ซึ่งลักษณะดังต่อไปนี้คือลักษณะของบุคคลที่เป็น Toxic People ที่เราพบเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน
ลักษณะของคนที่เป็น Toxic People

1. ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น: คนประเภทนี้จะเป็นคนที่ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ขาดความสำนึกผิด ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ดูคล้าย ๆ คนที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ไร้ความเมตตาปรานี และมักจะเป็นคนที่ไม่รู้สึกยินดีต่อความสำเร็จของผู้อื่นซึ่งอาการที่แสดงออกหลากหลายเหล่านี้อาจเป็นอาการของภาวะสุขภาพจิตบางอย่าง เช่น โรคบุคลิกภาพผิดปกติ อย่าง โรคไซโคพาธ หรือโรคจิตเภท

2. นักวิจารณ์: คนเหล่านี้มักจะจับผิดและวิจารณ์คนอื่น โดยการที่คุณบอกกับเขาว่า คุณเตือนเขาด้วยความหวังดี เท่ากับว่าคุณกำลังลดค่าของเขาด้วยการจี้จุดอ่อนบางอย่างที่เป็นความผิดในตัวเขา โดยใช้ความหวังดีมาเพิ่มค่าให้กับตัวคุณเองซึ่งบุคคลประเภทนี้มักจะไม่แสดงความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ เพราเขาจะตัดสินและวิจารณ์โดยที่ไม่ใส่ใจเรื่องอื่นใด นอกจากอคติของตนเองที่มีอยู่ในตัวและไม่สนใจในความรู้สึกของผู้อื่น

3. จอมควบคุม: การควบคุมผู้อื่นหมายถึงพฤติกรรมที่คนคนหนึ่งพยายามบงการการกระทำ ความคิด หรือความรู้สึกของคนอื่นให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ สิ่งเหล่านี้สามารถแสดงให้เห็นได้หลายวิธี เช่น พยายามจำกัดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลอื่น ควบคุมการเงิน หรือเรียกร้องให้ปฏิบัติตนในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง

4. หลงตัวเอง: คนประเภทที่มีนิสัยหลงตัวเองเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่โดดเด่นด้วยความรู้สึกสำคัญในตนเอง ความหมกมุ่นอยู่กับจินตนาการถึงความสำเร็จหรืออำนาจ ต้องการความชื่นชม และขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโรคที่เรียกว่า “โรคบุคลิกภาพหลงตัวเอง” เป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบพฤติกรรมและทัศนคติที่คนที่เป็นโรคนี้ อาจมีความรู้สึกเกินจริงในความสามารถและความสำเร็จของตนเอง และอาจคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับว่าตนเองนั้นอยู่เหนือกว่าผู้อื่น พวกเขาอาจมีความรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิและจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการชื่นชม หรือความสนใจจากผู้อื่นตลอดเวลา เนื่องจากพวกเขามักจะมองว่าผู้อื่นเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของตนเอง

5. นักดราม่า: คนที่สร้างเรื่องดราม่าได้ทุกเรื่อง ซึ่งคนที่เป็นคนประเภทนี้จะชอบเรื่องดราม่าและเรื่องวุ่นวาย รวมทั้งมักที่จะสร้างปัญหาและความขัดแย้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น พวกเขาอาจใช้เล่ห์เหลี่ยมและใช้อารมณ์ตนเองเพื่อควบคุมผู้อื่น ให้ได้เป็นไปตามที่ตนเองพอใจหรอตามความต้องการของตนเอง

6. ขี้นินทา: คนนินทาคือคนที่มักมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข่าวลือ คำบอกเล่า หรือข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับผู้อื่น พฤติกรรมนี้อาจเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอาจสร้างความขัดแย้ง ความไม่ไว้วางใจ และแม้กระทั่งความเสียหายต่อชื่อเสียงของคนอื่น

7. อิจฉาริษยา: คนๆ นี้มักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ และอาจกลายเป็นคนขี้อิจฉาหรือริษยาในความสำเร็จของคนอื่น และคนแบบนี้ยังมีความคิดที่ต้องการที่จะแข่งขันกับคนอื่นอยู่ตลอดและพยายามทำลายความสำเร็จของคนอื่น คนประเภทนี้จะมีนิสัยที่ไม่ยินดีในความสำเร็จของคนอื่น และพร้อมที่จะซ้ำเติมเมื่อคนอื่นพลาด

วิธีการจัดการกับคนที่เป็นToxic อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่มีวิธีรับมือบางอย่างที่สามารถช่วยได้ อย่างเช่น
- ถอยห่าและกำหนดขอบเขต: การที่เราอยู่ห่างจากคนที่เป็นพิษเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาพจิตของเรา เพราะกลุ่มคนที่เป็น Toxic อาจจะทำให้เราอารมณ์เสีย ปั่นป่วน และอาจเป็นอันตรายต่อตัวเราเองหรือผู้อื่น รวมถึงสิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีการกำหนดขอบเขตกับคนประเภทนี้ ให้พวกเขารู้ว่าเราไม่สบายใจกับพฤติกรรมของพวกเขาและเราต้องการพื้นที่ส่วนตัว
- พิจารณายุติความสัมพันธ์: หากคนที่เป็น Toxic ยังคงนำความคิดด้านลบและความเครียดมาสู่ชีวิตของเราแม้ว่าเราจะพยายามรับมือแล้วก็ตาม บางครั้งเราอาจจำเป็นต้องยุติความสัมพันธ์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเราเอง เมื่อเรายุติความสัมพันธ์กับบุคคลที่เป็น Toxic แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องซื่อสัตย์ต่อพวกเขา เพื่อที่จะให้พวกเขารับรู้ถึงพฤติกรรมของเขาว่ามันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และมันส่งผลเสียต่อชีวิตของคนอื่นที่ได้รับผลกระทบในส่วนนั้นด้วย
- สงบสติอารมณ์: เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เป็นพิษ พยายามสงบสติอารมณ์ อย่าปล่อยให้พลังงานด้านลบและพฤติกรรมของพวกเขาส่งผลต่ออารมณ์และอารมณ์ของคุณ ซึ่งในการหายใจลึกๆ ช้าๆ จะช่วยให้เราสงบสติอารมณ์และมีสมาธิมากขึ้น โดยการที่เราพยายามหายใจเข้าลึก ๆ สัก 2-3 ครั้งก่อนที่จะตอบสนองต่อบุคคลที่เป็น Toxic หรือในระหว่างการสนทนาที่ยากลำบาก
- ฝึกฝนการดูแลตนเอง: การดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ หาเวลาสำหรับกิจกรรมการดูแลตนเอง เช่น ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัวที่ให้กำลังใจ พยายามอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เป็นบวก ใช้เวลากับคนที่คิดบวกและให้การสนับสนุนกับตัวเรา ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยยกระดับและช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้ และยังช่วยให้เรานั้นมีความคิดที่ดีต่อสุขภาพจิตเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแลพร้อมที่จะรับมือกับบุคคลที่เป็น Toxic
- อย่ายุ่งกับเรื่องดราม่า: คนที่เป็นพิษมักจะชอบเรื่องดราม่าและความขัดแย้ง การรับมือกับดราม่าของคนเป็นพิษอาจทำให้เหนื่อยและเครียดได้ พยายามหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในเรื่องดราม่านั้นๆ อย่าให้ความพึงพอใจแก่พวกเขาในการมีส่วนร่วมในเรื่องดราม่า หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการที่บิดเบือนในเรื่องต่างๆที่พวกเขาเหล่านั้นได้ก่อขึ้น พยายามหลีกหนีห่างจากคนที่เป็น Toxic เพื่อลดความคิดเชิงลบหรือการกระทำเชิงลบที่เกิดขึ้นในสถาณการณ์นั้นๆ
“…การรับมือกับคนที่เป็นพิษอาจเป็นเรื่องท้าทายและอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์และจิตใจ สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดขอบเขตและดำเนินการเพื่อป้องกันตนเอง เช่น จำกัดหรือตัดการติดต่อกับผู้ที่เป็นพิษ ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนและครอบครัว หรือขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น คุณสามารถรับมือกับคนที่เป็นพิษและป้องกันตัวเองจากอิทธิพลเชิงลบของพวกเขา…”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
Micro Stress ความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
ความเครียดระดับ Micro Stress หรือที่เรียกว่าความยุ่งยากในชีวิตประจำวัน หมายถึง ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน ตัวก่อความเครียดเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อย แต่สามารถเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและส่งผลต่อระดับความเครียดโดยรวมของเรา ตัวอย่างของความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ได้แก่ รถติด การไปทำงานสาย เพื่อนร่วมงานที่น่ารำคาญ หรือการสนทนาที่ยากลำบากกับเพื่อน แม้ว่าตัวสร้างความเครียดเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญในตัวเอง แต่ก็สามารถส่งผลสะสมต่อสุขภาพจิตและร่างกายของเราได้
การวิจัยแสดงให้เห็นว่าความเครียดระดับ Micro Stress สามารถส่งผลเสียต่อความเป็นอยู่ของเรา รวมถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีจัดการและลดความเครียดในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ฝึกสติ ออกกำลังกาย และขอความช่วยเหลือทางสังคม
ความเครียดเล็กๆ น้อยๆ หรือความยุ่งยากในแต่ละวันอาจมีสาเหตุหลายประการ ต่อไปนี้คือสาเหตุทั่วไปบางประการของความเครียดในระดับ Micro Stress:
- ความเครียดจากการทำงาน: ความเครียดจากการทำงานเป็นความเครียดประเภทหนึ่งที่เกิดจากความต้องการ ความกดดัน และความคาดหวังที่เกี่ยวข้องกับงานหรือการจ้างงาน ความเครียดจากการทำงานอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณงาน กำหนดเวลา ความไม่มั่นคงของงาน ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา การขาดการควบคุมงานหรือสภาพแวดล้อม และชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน

2. ความเครียดจากความสัมพันธ์: ความเครียดจากความสัมพันธ์หมายถึงความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ความสัมพันธ์แบบโรแมนติก ความสัมพันธ์ในครอบครัว มิตรภาพ และความสัมพันธ์ในการทำงาน ความเครียดในความสัมพันธ์อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ปัญหาในการสื่อสาร ความขัดแย้ง ความไม่ลงรอยกัน ความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน การนอกใจ และการสูญเสียความไว้วางใจ ความเครียดจากความสัมพันธ์อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกายของบุคคล รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย อาการของความเครียดจากความสัมพันธ์อาจรวมถึงความวิตกกังวล ซึมเศร้า ปัญหาการนอนหลับ ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลง และความเจ็บป่วยทางร่างกาย

3. ความเครียดทางการเงิน: ความเครียดทางการเงิน หมายถึง ความเครียดที่เกิดจากความกังวลและความยากลำบากทางการเงิน เช่น หนี้สิน การว่างงาน รายได้น้อย ค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง และไม่มีเงินออม ความเครียดทางการเงินอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกายของบุคคล ตลอดจนความสัมพันธ์กับผู้อื่น

4. ความเครียดด้านสุขภาพ: ความเครียดด้านสุขภาพ หมายถึง ความเครียดที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายหรือสุขภาพของคนที่คุณรัก ความเครียดด้านสุขภาพอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเจ็บป่วยเรื้อรัง การเจ็บป่วยเฉียบพลัน การบาดเจ็บ ความพิการ หรือกระบวนการทางการแพทย์

5. ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม: ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความเครียดที่เกิดจากผลกระทบของสิ่งรอบตัวที่มีต่อความเป็นอยู่ ความเครียดจากสิ่งแวดล้อมอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เสียง มลพิษ ความแออัดยัดเยียด ภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

6. ความเครียดจากเทคโนโลยี: ความเครียดจากเทคโนโลยี หมายถึง ความเครียดที่เกิดจากการใช้หรือใช้เทคโนโลยีมากเกินไป เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และโซเชียลมีเดีย ความเครียดจากเทคโนโลยีอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ข้อมูลล้นมือ การแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องและการขัดจังหวะ การเสพติดโซเชียลมีเดีย และความกดดันในการติดต่อสื่อสาร

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าความเครียดในแต่ละวันเป็นเรื่องปกติของชีวิต อย่างไรก็ตาม หากความเครียดระดับ Micro Stress เข้ามาครอบงำและเริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตหรือร่างกายของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องขอความช่วยเหลือและหาวิธีจัดการกับความเครียดของคุณ
การรับมือกับความเครียดเล็กๆ น้อยๆ หรือความยุ่งยากในชีวิตประจำวันสามารถช่วยป้องกันไม่ให้สะสมและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้นได้ นี่คือกลยุทธ์บางอย่างที่สามารถช่วยจัดการความเครียดเหล่านี้ได้:

- หมั่นฝึกสติ: การฝึกสติเป็นวิธีที่ได้ผลในการลดความเครียดและทำให้ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น การเจริญสติเกี่ยวข้องกับการให้ความสนใจกับช่วงเวลาปัจจุบันด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง ความอยากรู้อยากเห็น และการยอมรับ มันสามารถช่วยให้คุณตระหนักถึงความคิด ความรู้สึก และความรู้สึกของคุณมากขึ้น และพัฒนาความรู้สึกสงบและความสงบภายในมากขึ้น การจัดสรรเวลาในแต่ละวันสำหรับการฝึกสติอย่างเป็นทางการ อาจใช้เวลาเพียง 5-10 นาที และอาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจอย่างมีสติ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายเป็นประจำเป็นองค์ประกอบสำคัญของการรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิต การออกกำลังกายช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดีขึ้น เพิ่มระดับพลังงาน และลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง
- ให้ลำดับความสำคัญของการดูแลตัวเอง: การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ให้เวลากับตัวเอง จัดสรรเวลาในแต่ละวันเพื่อทำสิ่งที่คุณชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเดินเล่น มีส่วนร่วมในงานอดิเรกและกิจกรรมสร้างสรรค์ การทำสิ่งที่สร้างสรรค์เป็นวิธีที่ดีในการคลายความเครียดและแสดงความเป็นตัวคุณ
- จัดระเบียบตัวเอง: การจัดระเบียบตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเครียด กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ระบุสิ่งที่คุณต้องการทำให้สำเร็จและแยกย่อยออกเป็นงานที่เล็กลงและทำได้ จัดลำดับความสำคัญของงาน ระบุว่างานใดมีความสำคัญหรือเร่งด่วนที่สุด และมุ่งเน้นไปที่งานเหล่านั้นก่อนโปรดจำไว้ว่าการจัดระเบียบตัวเองต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ประโยชน์ที่ได้รับก็คุ้มค่า การจัดระเบียบจะช่วยให้คุณลดความเครียด เพิ่มผลผลิต และบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ฝึกพูดกับตัวเองในเชิงบวก: การพูดเชิงบวกกับตัวเอง หรือที่เรียกว่าการพูดกับตัวเองในเชิงบวก สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์ ความนับถือตนเอง และความเป็นอยู่โดยรวมของคุณ มุ่งเน้นไปที่จุดแข็งของคุณ แทนที่จะจมอยู่กับจุดอ่อน ให้โฟกัสไปที่จุดแข็งและสิ่งที่คุณทำได้ดีใจดีกับตัวเอง ปฏิบัติต่อตนเองด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ
- พักสมอง: การหยุดพักเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลตนเองและสามารถช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ ตัดการเชื่อมต่อ ระหว่างช่วงพัก ให้ตัดขาดจากงานหรือความเครียดอื่นๆ วางโทรศัพท์ ออกห่างจากคอมพิวเตอร์ และพักสมองทำสิ่งที่คุณชอบ ใช้ช่วงพักของคุณทำสิ่งที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ เดินเล่น หรือฟังเพลงการใช้เวลาอยู่ข้างนอกท่ามกลางธรรมชาติเป็นวิธีที่ดีในการเติมพลังและเพิ่มอารมณ์ของคุณ
” โปรดจำไว้ว่า ความเครียดในระดับ Micro Stress เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่ไม่จำเป็นต้องควบคุมอารมณ์และสุขภาพของคุณ การฝึกดูแลตัวเอง การสร้างแรงสนับสนุนทางสังคม และการหยุดพัก สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนช่วยให้คุณนั้นสามารถจัดการกับความเครียดเล็กๆ น้อยๆ อย่าง Micro Stress ได้และยังสามารถพัฒนาความเป็นอยู่โดยรวมของคุณให้ดีมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย…”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
ทำอย่างไรดีเมื่อต้องเป็นหัวหน้างานตั้งแต่อายุยังน้อย
การเป็นหัวหน้างานตั้งแต่อายุยังน้อยอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เนื่องจากคุณอาจต้องจัดการคนที่อายุมากกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าคุณ และจะทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นยอมรับในตัวคุณได้ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางส่วนที่จะช่วยให้คุณนั้นประสบความสำเร็จในฐานะหัวหน้างานรุ่นเยาว์ได้ไม่มากก็น้อยเพื่อเป็นก้าวแรกของการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- Be Respectful มีความเคารพ: ต้องปฏิบัติต่อสมาชิกในทีมของคุณด้วยความเคารพและความเป็นมืออาชีพ โดยไม่คำนึงถึงอายุหรือระดับประสบการณ์ รับฟังข้อกังวลและแนวคิดของพวกเขา และนำความคิดเห็นของพวกเขามาพิจารณาในการตัดสินใจ ให้ทุกข้อมูลจากสมาชิกเป็นสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์ต่อการพัฒนางานในทีม ทำให้สมาชิกรู้สึกมีคุณค่าและเปิดใจต่อการทำงานร่วมกันได้อย่างดี
- Be Confident มีความมั่นใจ: สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเชื่อมั่นในตัวเองและความสามารถของคุณในฐานะหัวหน้างาน แม้ว่าคุณจะอายุน้อยก็ตาม เพราะสมาชิกในทีมนั้นคาดหวังในตัวคุณมากว่าคือผู้นำของทีมและสบายใจเมื่อมีคุณเป็นหัวหน้า ดังนั้นความมั่นใจสามารถช่วยให้คุณได้รับความเคารพจากสมาชิกในทีมและเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพ
- Seek Feedback ขอคำติชม: ขอคำติชมจากสมาชิกในทีมและหัวหน้างานของคุณเอง การขอคำติชมเป็นสิ่งที่ดีในการพัฒนางานที่ทำอยู่ในปัจจุบันเนื่องจากสามารถนำคำติชมจากสมาชิกหรือหัวหน้ามาปรับปรุงแก้ไขและเห็นภาพได้กว้างยิ่งขึ้น วิธีนี้จะช่วยคุณระบุจุดที่คุณสามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการของคุณได้อย่างรวดเร็ว
- Be a Good Listener เป็นผู้ฟังที่ดี: หลายต่อหลายครั้งที่หัวหน้างานไม่ค่อยรับฟังความเห็นจากสมาชิกในทีม เนื่องจากคิดว่าสิ่งที่เราตัดสินใจนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วด้วยจากสิ่งที่เรียนรู้มา หรือรับฟังแค่ในเรื่องของงานเท่านั้น แต่คุณรู้ไหมว่าการรับฟังอย่างกระตือรือร้นเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับหัวหน้างาน แต่สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็นหัวหน้างานมือใหม่ ลองรับฟังข้อกังวลและคำแนะนำของสมาชิกในทีม และแสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของพวกเขาทุกคนแม้แต่เรื่องนอกเหนือจากงานก็ตาม
- Focus on Results มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์: ประสิทธิภาพของทีมของคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ตั้งความคาดหวัง และให้สมาชิกในทีมของคุณรับผิดชอบต่อผลงานของพวกเขา และให้ Feedback ต่อผลงานทุกครั้ง เพื่อพัฒนาผลลัพธ์ให้ดีและตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น
- Be Open to Learning เปิดใจรับการเรียนรู้: ในฐานะหัวหน้างานอายุน้อย คุณน่าจะมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก เปิดรับคำติชม ค้นหาโอกาสในการให้คำปรึกษา และลงทุนในการพัฒนาวิชาชีพของคุณเองเพื่อพัฒนาให้เกิดศักยภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น
- Lead by Example ต้องเป็นแบบอย่าง: พฤติกรรมและจรรยาบรรณในการทำงานของคุณจะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับทีมของคุณ เป็นแบบอย่างโดยแสดงให้เห็นถึงจรรยาบรรณในการทำงานที่แข็งแกร่ง เชื่อถือได้ และรับผิดชอบต่อการกระทำของคุณในทุกๆกิจกรรมในการทำงาน เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการยอมรับว่าคุณมีศักยภาพและเหมาะสมกับตำแหน่งนี้นั่นเอง
“…ดังนั้นการเป็นหัวหน้ามือใหม่ที่อายุยังน้อยถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และท้าทายต่อตัวคุณที่จะต้องสร้างการมีความเคารพ ความมั่นใจ การแสวงหาคำติชม การฟังอย่างกระตือรือร้น การมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ เปิดใจรับการเรียนรู้ และการเป็นผู้นำด้วยตัวอย่าง คุณจะประสบความสำเร็จในฐานะหัวหน้างานมือใหม่ได้นั่นเอง…”
แล้วการเป็นหัวหน้างานในยุคดิจิทัลต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง
ในยุคดิจิทัล การเป็นหัวหน้างานจำเป็นต้องมีชุดทักษะและคุณสมบัติที่แตกต่างจากที่จำเป็นในอดีต เคล็ดลับในการเป็นหัวหน้างานที่ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลมีดังนี้

1. Embrace Technology โอบรับเทคโนโลยี: ในฐานะหัวหน้างานในยุคดิจิทัล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆและเข้าใจว่าจะนำเทคโนโลยีเหล่านั้นไปใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการสื่อสารภายในทีมได้อย่างไร
2. Be Flexible ต้องมีความยืดหยุ่น: การมีความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลและสภาพแวดล้อมในการทำงานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ และกระตุ้นให้สมาชิกในทีมของคุณมีความคิดสร้างสรรค์ในการหาทางออกของปัญหาที่ตามมาด้วย


3. Communicate Effectively เน้นสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ: ในยุคดิจิทัล การสื่อสารมีความสำคัญมากเนื่องจากใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสมาชิกในทีมของคุณเข้าใจความคาดหวังของคุณ ดังนั้นต้องให้ข้อเสนอแนะ และสื่อสารในลักษณะที่ชัดเจนและรัดกุม ผ่านเทคโนโลยีในการสื่อสารเพื่อให้ได้ผลสรุปที่ตรงกันไม่คลาดเคลื่อน
4. Be Data-Driven การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: ในยุคดิจิทัล ข้อมูลเป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับการตัดสินใจ ใช้ข้อมูลเพื่อวัดประสิทธิภาพ ข้อมูลสามารถระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และตัดสินใจได้โดยใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการแสดงผลและการขับเคลื่อนของทีม


5. Foster a Positive Team Culture ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานในเชิงบวก: ในยุคดิจิทัล การทำงานจากระยะไกลกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆ ส่งเสริมวัฒนธรรมของทีมในเชิงบวกโดยการส่งเสริมการเข้าสังคม การสร้างทีม และการตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของแต่ละคน โดยหัวหน้าต้องมีการเชื่อมสัมพันธ์เชิงบวกให้เกิดขึ้นภายทีมได้
6. Prioritize Work-Life Balance จัดลำดับความสำคัญของสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: ในยุคดิจิทัล ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย กระตุ้นให้สมาชิกในทีมหยุดพักบ้าง เปิดโอกาสในการพูดคุย หรือ จัดลำดับความสำคัญของการดูแลตนเอง และหลีกเลี่ยงความเหนื่อยหน่าย หัวหน้างานต้องมีการเอาใจใส่ความเป็นอยู่ สภาพการทำงาน หรือทรัพยากร ว่าเหมาะสมเพียงพอหรือ ไม่หนักเกินไป หรือน้อยจนไม่มีประสิทธิภาพเลย ต้องจัดสมดุลให้เหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน

“…ด้วยการเปิดรับเทคโนโลยี หัวหน้างานในยุคดิจิทัลต้องสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น คือ การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เป็นผู้นำด้วยตัวอย่าง ส่งเสริมวัฒนธรรมทีมในเชิงบวก และจัดลำดับความสำคัญของสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน คุณจะเป็นหัวหน้างานที่ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้…”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
HR Skill ทักษะสำคัญในปี 2023 ที่ HR ควรรู้
รู้หรือไม่ว่า HR Skills ในปี 2023 มีอะไรบ้างที่ต้องปรับตัวให้ทัน ทักษะด้านทรัพยากรบุคคลในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าสายงานด้านทรัพยากรบุคคลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และทักษะที่จำเป็นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับองค์กรและอุตสาหกรรม ต่อไปนี้เป็นทักษะด้านทรัพยากรบุคคลที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการในปี 2566

1. Emotional Intelligence ความฉลาดทางอารมณ์: ความสามารถในการเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตนเอง รวมถึงอารมณ์ของผู้อื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานในเชิงบวกได้ เป็นสิ่งที่ HR ต้องเข้าใจในเรื่องนี้ เนื่องด้วยการประสานงานกับหน่วยงานอื่น หรือการขอความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆ ต้องเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง HR และพนักงานเป็นหลัก เพื่อที่จะสามารถดำเนินงานให้ไปได้ด้วยดี ดังนั้นความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างมาก

- Data Analysis and Visualization การวิเคราะห์ข้อมูลและการแสดงภาพ: แน่นอนว่าในยุคนี้เรื่องนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องความสามารถในการรวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยในการตัดสินใจและผลักดันผลลัพธ์ทางด้านการปฏิบัติงาน และสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้เช่นกัน เนื่องด้วยข้อมูลต่างๆที่เป็น DATA ต่างๆเมื่อนำมาวิเคราะห์แล้วสามารถเห็นภาพได้ง่ายกว่า และสามารถทำให้ที่ประชุมสามารถสรุปผลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ดังนั้นในงานของ HR นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื่องจากงานของฝ่าย HR ข้อมูลมีเป็นจำนวนมาก ทักษะนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

- Digital HR Technology เทคโนโลยีด้านดิจิทัลของทรัพยากรบุคคล: ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อจัดการกระบวนการ HR เช่น การสรรหา การรับเข้าทำงาน และการจัดการผลการปฏิบัติงาน แน่นอนอยู่แล้วว่าจำเป็นต้องมีเครื่องมือ (Tools) ต่างๆ เพื่อมาจัดการและลดเวลาในการทำงานของฝ่าย HR

- Diversity, Equity, and Inclusion ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมเป็นหนึ่ง: เป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับงาน HR เนื่องด้วยความแตกต่างตั้งแต่ ตำแหน่ง อายุ เพศ อายุการทำงาน ฯลฯ HR จะต้องมีทักษะนี้คือความสามารถในการสร้างและรักษาสถานที่ทำงานที่หลากหลาย ครอบคลุม และเท่าเทียมกัน ซึ่งพนักงานทุกคนรู้สึกมีค่าและได้รับการเคารพ

- Change Management การจัดการการเปลี่ยนแปลง: ก่อนเริ่มดำเนินการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงใดๆ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเหตุใดจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจะมีต่อองค์กรและพนักงานอย่างไร ความสามารถในการเป็นผู้นำและจัดการการเปลี่ยนแปลงขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ HR จำเป็นต้องพัฒนาแผนการเปลี่ยนแปลง ควรจัดทำแผนการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุม รวมถึงระยะเวลาที่ชัดเจน แผนการสื่อสาร แผนการฝึกอบรมและพัฒนา และแผนติดตามและประเมินผล

- Talent Management การจัดการความสามารถพิเศษ: ควรดำเนินการประเมินความสามารถปัจจุบันขององค์กรอย่างครอบคลุม เพื่อทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของพนักงานปัจจุบัน และเพื่อระบุช่องว่างความสามารถใด ๆ ที่จำเป็นต้องแก้ไข HR ต้องมีความสามารถในการระบุและพัฒนาพนักงานที่มีศักยภาพสูงได้ เพื่อสร้างและใช้กลยุทธ์เพื่อรักษาความสามารถระดับสูงเอาไว้ได้

- Employee Engagement การมีส่วนร่วมของพนักงาน: ความสามารถในการสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานในเชิงบวก ซึ่งพนักงานมีแรงจูงใจและมีส่วนร่วมในการทำงาน เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

- Strategic Thinking การคิดเชิงกลยุทธ์: ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์และเชิงกลยุทธ์ และจัดแนวความคิดริเริ่มด้านทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์โดยรวมขององค์กร ตามเทรนด์ปัจจุบัน
“..ทักษะเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นที่ต้องการในสายงานทรัพยากรบุคคลในปี 2566 แต่สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าทักษะเฉพาะที่จำเป็นนั้นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับองค์กรและลักษณะของอุตสาหกรรมด้วย..”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
เจาะลึก 5 วิธี สร้างการเรียนรู้ทักษะใหม่สำหรับ Competency DX
Competency DX
การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพเนื่องจากช่วยให้บุคคลมีความเกี่ยวข้องและทันสมัยในภูมิทัศน์ดิจิทัลที่พัฒนาตลอดเวลา ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทักษะและเทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ช่วยให้บุคคลเพิ่มพูนความรู้และความสามารถ ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดงานได้มากขึ้น และพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของบทบาทในปัจจุบันหรืออนาคตได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การได้รับทักษะใหม่ ๆ ยังช่วยเพิ่มการเติบโตส่วนบุคคลและในสายอาชีพ เพิ่มความมั่นใจในตนเองและความพึงพอใจในการทำงาน และเปิดโอกาสทางอาชีพใหม่ ๆได้อีกด้วย
ความสำคัญของการเรียนรู้ Competency DX
การเรียนรู้ความสามารถทางดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกดิจิทัลในปัจจุบัน เพราะความสามารถทางดิจิทัลกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงานจำนวนมาก และการพัฒนาทักษะเหล่านี้ยังสามารถช่วยให้บุคคลมีความเกี่ยวข้องและสามารถแข่งขันในตลาดงานได้
- Career Advancement ความก้าวหน้าในอาชีพ: การมีความสามารถด้านดิจิทัลสามารถเปิดโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ เพิ่มศักยภาพในการหารายได้ และนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งเร็วขึ้น เพราะศักยภาพที่ได้พัฒนาขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จ
- Improved Productivity ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น: ความสามารถทางดิจิทัลสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานโดยทำให้แต่ละคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลดงาน ลดเวลา ได้เป็นอย่างดี
- Better Problem-Solving การแก้ปัญหาที่ดีขึ้น: ความสามารถทางดิจิทัลสามารถช่วยให้แต่ละคนพัฒนาแนวทางเชิงกลยุทธ์และสร้างสรรค์มากขึ้นในการแก้ปัญหา เพราะเครื่องมือด้านเทคโนโลยีจะช่วยนำข้อมูลจากระบบมาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้
- Enhanced Communication การสื่อสารที่ดีขึ้น: ความสามารถด้านดิจิทัลสามารถปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน ทำให้บุคคลสามารถทำงานร่วมกับทีมระยะไกลหรือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การเรียนรู้ความสามารถด้านดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็น มีความสำคัญต่อการเติบโตส่วนบุคคลและอาชีพในยุคดิจิทัล”

5 วิธีสร้างการเรียนรู้ทักษะใหม่สำหรับ Competency DX
5 วิธีที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ สำหรับการสร้างความสามารถในการเข้าสู่ทักษะด้านดิจิทัล
- Identify the Skills You Need ระบุทักษะที่คุณต้องการ: ระบุรายการทักษะที่คุณต้องพัฒนาเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ดิจิทัลในการทำงาน ซึ่งอาจรวมถึงทักษะทางเทคนิค เช่น การเขียนโปรแกรมหรือการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์งานเดิมให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนทักษะด้านอารมณ์ เช่น ความเป็นผู้นำหรือการสื่อสาร
- Seek Out Training Opportunities ค้นหาโอกาสในการฝึกอบรม: มองหาโปรแกรมการฝึกอบรม หลักสูตรออนไลน์ หรือเวิร์กช็อปที่สามารถช่วยคุณสร้างทักษะที่คุณต้องการตามที่ได้ระบุ มีแหล่งข้อมูลมากมาย รวมถึงแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ เช่น Coursera, Udemy และ LinkedIn Learning ตลอดจนเวิร์กชอปและเซสชันการฝึกอบรมแบบตัวต่อตัวจากหลายๆสถาบัน
- Practice and Apply Your Skills ฝึกฝนและใช้ทักษะของคุณ: วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความสามารถคือการฝึกฝนและประยุกต์ใช้ ค้นหาโอกาสในการใช้ทักษะที่ได้รับใหม่ในงานหรือผ่านโครงการส่วนบุคคล หรือการสร้างผลผลิตในงานชิ้นใหม่ๆจากทักษะที่คุณได้มา
- Network with Others in Your Field สร้างเครือข่ายกับผู้อื่นในสาขาของคุณ: เข้าร่วมชุมชนออนไลน์หรือเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเชื่อมต่อกับมืออาชีพคนอื่น ๆ ที่ทำงานด้านดิจิทัล สิ่งนี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและข้อมูลที่มีคุณค่า ตลอดจนโอกาสในการทำงานร่วมกันและการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมาก
- Stay Current with Industry Developments ติดตามการพัฒนาอุตสาหกรรมในปัจจุบัน: ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการพัฒนาและแนวโน้มล่าสุดในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลโดยการอ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกิจกรรมและการประชุม และติดตามผู้นำทางความคิดในอุตสาหกรรมบนโซเชียลมีเดีย ก็สามารถช่วยให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า
“เทรนด์ปัจจุบันในเรื่องนี้เป็นไปอย่างไร และสามารถรับมือให้ทันความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร”
“..ดังนั้นอย่าลืมว่าการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการพัฒนาทักษะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสามารถในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ด้วยการแสวงหาโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถเติบโตและพัฒนาทักษะของคุณต่อไปได้ด้วย Competency for Digital Transformation..”
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!
7 วิธีปรับตัวเมื่อองค์กรของคุณก้าวสู่ Digital Transformation
เมื่อองค์กรต่างๆ ก้าวไปสู่ความเป็นดิจิทัล สิ่งที่สำคัญ คือต้องปรับตัวให้ทันเพื่อให้สามารถแข่งขันในภาคธุรกิจได้และมีความเกี่ยวข้องอย่างไรในการปรับตัวของคนทำงานเมื่อองค์กรของคุณเข้าสู่ยุคดิจิทัล :
7 วิธีปรับตัวเมื่อองค์กรของคุณก้าวสู่ Digital Transformation
- Learn new skills เรียนรู้ทักษะใหม่: อัปเดตตัวเองอยู่เสมอด้วยเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาขาของคุณ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณติดตามข่าวสารล่าสุดและสามารถมีส่วนร่วมในการก้าวไปสู่ด้านดิจิทัลขององค์กรได้


2. Embrace change ยอมรับการเปลี่ยนแปลง: เปิดรับวิธีการทำงานใหม่ๆ และเต็มใจที่จะลองสิ่งใหม่ๆ การทำให้เป็นดิจิทัลมักต้องมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการและวิธีการทำงาน ดังนั้น การปรับตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
3. Communicate effectively สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ: ด้วยการทำงานระยะไกลและเสมือนจริงมากขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพผ่านช่องทางดิจิทัล เรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มการสื่อสารดิจิทัลเพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงาน และติดต่อกับทีมของคุณได้อย่างดีเยี่ยม


4. Collaborate ทำงานร่วมกัน: เมื่อมีการทำงานจากระยะไกลมากขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำงานร่วมกับสมาชิกในทีมของคุณ ใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานเป็นทีมและตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจตรงกันไม่หลงประเด็น
5. Stay organized จัดระเบียบอยู่เสมอ: ด้วยข้อมูลและสารสนเทศที่มากขึ้นในรูปแบบดิจิทัล สิ่งสำคัญคือต้องจัดระเบียบและติดตามไฟล์และเอกสารสำคัญอยู่เสมอ


6. Be aware of security ตระหนักถึงความปลอดภัย: ด้วยการทำให้เป็นดิจิทัล จำเป็นต้องปกป้องข้อมูลและข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตระหนักถึงการรักษาความปลอดภัยขององค์กรและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อรับรองความปลอดภัยของข้อมูล
7. Embrace innovation โอบรับนวัตกรรม: การทำให้เป็นดิจิทัลมักจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ สำหรับนวัตกรรม ดังนั้นจงเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ และคิดอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและบริการขององค์กรของคุณ

โปรดจำไว้ว่าการแปลงเป็นดิจิทัลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง และสิ่งสำคัญคือต้องปรับตัวอยู่เสมอเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในโลกดิจิทัล และสิ่งที่สำคัญที่คอยขับเคลื่อนให้การเปลี่ยนแปลงเป็นดิจิทัลให้สำเร็จนั้น คือ เทคโนโลยี กับ คน (People)ที่เป็นหัวใจหลัก และต้องมีกรอบความคิดแบบเติบโตที่เรียกว่า Growth Mindset ด้วย
Growth Mindset คืออะไร
ความคิดแบบเติบโต คือความเชื่อที่ว่าความสามารถและความฉลาดของบุคคลสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม การเรียนรู้ และประสบการณ์ คนที่มีความคิดแบบเติบโตเชื่อว่าพวกเขาสามารถปรับปรุงและเติบโตได้ผ่านการทำงานหนักและการอุทิศตน ตรงข้ามกับการมีความคิดแบบตายตัวซึ่งเชื่อว่าความสามารถและความฉลาดเป็นสิ่งที่ตายตัวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
บุคคลที่มีกรอบความคิดแบบเติบโตมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายด้วยทัศนคติเชิงบวกและรับความเสี่ยงเพื่อพัฒนาความสามารถของตน พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้มากขึ้นเมื่อเผชิญกับอุปสรรคและความพ่ายแพ้ และสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดีขึ้น ในทางกลับกัน คนที่มีความคิดตายตัวมักจะหลีกเลี่ยงความท้าทายและอาจยอมแพ้ได้ง่ายเมื่อเผชิญกับอุปสรรค เพราะพวกเขาเชื่อว่าความสามารถของพวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่ากรอบความคิดสามารถเปลี่ยนแปลงและปลูกฝังได้ ผู้คนสามารถเรียนรู้ที่จะนำกรอบความคิดแบบเติบโตมาใช้ได้ แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะมีกรอบความคิดที่ตายตัวอยู่แล้วก็ตาม
วิธีสร้าง Growth Mindset
การสร้างกรอบความคิดแบบเติบโตเกี่ยวข้องกับการปลูกฝังความเชื่อในความสามารถของตนเองในการเรียนรู้และปรับปรุงผ่านความพยายามและประสบการณ์ ต่อไปนี้เป็นสองสามวิธีในการพัฒนากรอบความคิดเพื่อการเติบโต:

- Embrace challenges ยอมรับความท้าทาย: แทนที่จะหลีกเลี่ยงงานหรือสถานการณ์ที่ยากลำบาก ให้มองว่าเป็นโอกาสในการเติบโตและการเรียนรู้
- Learn from mistakes เรียนรู้จากข้อผิดพลาด: แทนที่จะจมอยู่กับความล้มเหลว ให้มองว่ามันเป็นคำติชมที่มีค่าและเป็นโอกาสในการปรับปรุง
- Practice persistence ฝึกฝนความพากเพียร: ทำงานต่อไปเพื่อไปสู่เป้าหมาย แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือความพ่ายแพ้
- Seek out new experiences ค้นหาประสบการณ์ใหม่: รับความท้าทายใหม่ ๆ และลองสิ่งใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและความรู้ของคุณ
- Surround yourself with supportive people ล้อมรอบตัวเองด้วยผู้คนที่สนับสนุน: ล้อมรอบตัวคุณด้วยผู้คนที่เชื่อมั่นในตัวคุณและสนับสนุนให้คุณเติบโต
- Be open-minded เปิดใจ: เปิดรับแนวคิดและมุมมองใหม่ๆ และเต็มใจที่จะเปลี่ยนความคิดของคุณเมื่อได้รับหลักฐานใหม่ๆ
- Reflect on your progress ทบทวนความคืบหน้าของคุณ: ใช้เวลาทบทวนความคืบหน้าและเฉลิมฉลองความสำเร็จของคุณ
โปรดจำไว้ว่าการพัฒนากรอบความคิดเพื่อการเติบโตต้องใช้เวลาและการฝึกฝน ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะรับมือกับความท้าทายด้วยทัศนคติที่เป็นบวกและยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องพัฒนาควบคู่ไปกับเทคโนโลยีด้วยนั่นเอง
สามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA ของ HR และหลักการ Competency
ของทางทีม Trust – Vision เพียง คลิ๊ก!!!