ต้นทุนการจ้างงานคืออะไร ?

ต้นทุนการจ้างงานคืออะไร ?

ต้นทุนการจ้างงานคืออะไร หลายคนอาจสงสัยว่า ต้นทุนการจ้างงานนั้นคิดอย่างไร แล้วมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน โดยปกติแล้วต้นทุนการจ้างงานของพนักงานแต่ละคนนั้น ก็จะถูกแบ่งออกเป็นต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม เหมือนกับต้นทุนในการบริหารองค์กร

แต่โดยทั่วไปแล้วองค์กรจะมองเห็นแค่เงินเดือนและสวัสดิการของพนักงานเท่านั้นเพราะว่าไม่มีการแยกรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขี้นจริงตั้งแต่กระบวนการสรรหาจนถึงกระบวนการรับเข้าเป็นพนักงานประจำ หลายองค์กรมองว่าการคิดแค่เงินเดือนและสวัสดิการนั่นง่ายต่อการคำนวณคิดต้นทุนการจ้างงาน  และในหลายๆ องค์กรจะมองผลงานของพนักงานที่สามารถวัดได้จริงๆ เท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นหน่วยงานในสายงานหลักขององค์กรเช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาดฝ่ายผลิต ฯลฯหน่วยงานเหล่านี้สามารถที่จะเก็บตัวเลขผลงานของพนักงานแต่ละคนออกมาได้จริงๆ อย่างชัดเจนแต่ในส่วนงานของฝ่ายสนับสนุนเช่น แผนกบัญชี ฝ่ายบุคคล ในส่วนนี้จะวัดต้นทุนกันได้ยากเนื่องจากว่าไม่มีตัวเลขมาวัดได้อย่างชัดเจนเหมือนกับฝ่ายอื่นทำให้หลายองค์กรไม่ได้คิดต้นทุนในส่วนนี้กัน และส่วนมากจะใช้ประเมินเป็นการประเมินศักยภาพในการทำงานของแต่ละบุคคลเสียมากกว่า แต่หลักการประเมินก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลดีนัก องค์กรควรมีหลักการคำนวณต้นทุนที่ตรงไปตรงมาและตรงกับบริบทในการทำงานขององค์กร ตรงกับประเภทของธุรกิจการทำงานขององค์กร แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าคน มีความแตกต่างกับเครื่องจักร เราจะมาวัดต้นทุนกันโดยวิธีการคำนวณสูตรอย่างเดียว แบบนี้ก็ไม่ค่อยถูกต้องนักเนื่องจากเครื่องจักรเรายังสามารถคิดต้นทุนได้ชัดเจน แต่สิ่งที่ต่างก็คือ เครื่องจักรนับวันจะเสื่อมค่าลง ( คิดค่าเสื่อมราคาได้ ) แต่ทรัพยากรคนนั้น ถ้าเราลงทุกพัฒนาเขาได้อย่างตรงจุด ถูกทาง เขาจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรและตัวเค้าเองได้อย่างแน่นอนอีกทั้งองค์กรก็ไม่มีการคิดค่าเสื่อมราคาของพนักงาน เพราะเชื่อว่า คนพัฒนาได้ การที่คนอยู่ทำงานกับองค์กรไปนานๆ  มูลค่าเพิ่มของคนๆ นั้นจะเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งมูลค่าเพิ่มตรงนี้เองที่เป็นสิ่งที่ทำให้ทรัพยากรบุคคลแตกต่างกับทรัพยากรด้านอื่นๆ ซึ่งทรัพยากรด้านอื่นๆ นับวันจะมีแต่เสื่อมลง แต่ทรัพยากรคนนั้นกับเพิ่มศักยาภาพในการทำงานมากยิ่งขี้นตามกาลเวลาที่ได้ฝึกฝนเรียนรู้  และการพัฒนาทักษะนั่นเอง

ค่าแรงงาน

ค่าแรงงาน หมายถึง ค่าจ้างหรือผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือคนงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า โดยปกติแล้วค่าแรงงานจะถูกแบ่งออกเป็น ชนิด คือ ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) และค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor)

 1) ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) เป็นค่าแรงงานที่จ่ายให้กับพนักงานที่ทำหน้าที่ในการผลิตโดยตรง บอกได้อย่างชัดเจนว่าเวลาแรงงานที่ใช้ไปเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผลิตภันณ์ใดได้อย่างชัดเจน เช่น พนักงานฝ่ายผลิต โดยส่วนใหญ่แล้วจำนวนค่าแรงงานทางตรงนี้จะมีลักษณะผันแปรไปตามจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น

2) ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor) เป็นค่าแรงที่จ่ายให้กับพนักงานหรือลูกจ้างที่ทำหน้าที่ในลักษณะของการสนับสนุนการผลิต แต่ไม่ใช้ทำการผลิตสินค้า จึงไม่สามารถบอกได้ว่าก่อให้เกิดประโยชน์ทางตรงกับผลิตภัณฑ์ใด เช่น ค่าแรงงานพนักงานทำความสะอาด ค่าแรงงานพนักงานรักษาความปลอดภัย

” ดังนั้นในการคิดต้นทุนการจ้างงานนั้นจึงเป็นสิ่งที่องค์กรไม่ควรจะมองข้าม เพราะว่าจะทำให้องค์นั้นสามารถพัฒนาบุคคลกรขององค์กรได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้เกิดการจ้างงานที่ตรงกับสายงานมากที่สุดนั่นเอง “

ทำไมองค์กรจึงต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร

ทำไม ? องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร

“ทำไม? องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญในการพัฒนายุคลากร” วันที่เรามีคำตอบให้ค่ะ 

ความหลากหลายของบุคลากรไม่ใช่ปัญหาในการบริหาร แต่ความแตกต่างของทักษะความสามารถ ตลอดจนความคิดเห็น อาจเป็นปัญหาในการบริหารงานก็ได้ การพัฒนาพนักงานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่องค์กรไม่ควรมองข้าม การยกระดับทักษะ ความรู้ และความสามารถที่มีอยู่ของแต่ละบุคคลนั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะพนักงานเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดสำหรับองค์กร การที่องค์กรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรและคอยติดตามพัฒนาการล่าสุดของพนักงานว่ามีทักษะและความสามารถในด้านใด ก็เพื่อให้องค์กรสามารถอยู่รอดได้ในการแข่งขันที่ค่อนข้างเข้มข้นในยุคปัจจุบัน นั่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย องค์กรควรดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพัฒนาพนักงาน และนี่คือ 3 เหตุผลที่การพัฒนาพนักงานมีความสำคัญต่อองค์กรอย่างมาก

1) ช่วยให้องค์กรสามารถรักษาพนักงานที่ดีไว้ และช่วยให้การประกาศรับสมัครงานเป็นที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น การรักษาพนักงานที่มีคุณสมบัติที่ดี และกระบวนการจ้างงานนั่นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับองค์กร เพราะคนที่ศักยภาพสูงและมีประสบการณ์ในการทำงานจำนวนมากจะไม่ค่อยสมัครงานกัน จึงทำให้กระบวนการสรรหาพนักงานค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยาก แต่องค์กรก็สามารถทำให้ความยากลดลงได้ด้วยการที่องค์กรมีประกาศว่า องค์การมีการพัฒนาพนักงานในรูปแบบใด และมีวิธีการพัฒนาอย่างไรเพิ่มลงไป เพราะพนักงานส่วนใหญ่ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงานอย่างจริงจัง และเป็นปัจจัยหนึ่งที่พวกเขาใช้ในการตัดสินใจในการหางาน ดังนั้น การเพิ่มเรื่องการพัฒนาพนักงานให้เป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจการจ้างงานจึงทำให้องค์กรมีความได้เปรียบทางการแข่งขันมากกว่าองค์กรอื่นๆ ที่โฆษณาในลักษณะเดียวกัน และการพัฒนาพนักงานยังสร้างและส่งเสริมความภักดีในหมู่พนักงานอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร

2) รู้จุดอ่อนและจุดแข็งของพนักงาน การพัฒนาและฝึกอบรมพนักงานนั่น สามารถที่จะดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของพนักงานออกมาได้อย่างเต็มที่ และช่วยระบุจุดอ่อนและจุดแข็งของพนักงานได้อย่างดี การพัฒนาพนักงานจะทำให้องค์กรทราบได้ว่าพนักงานคนไหนมีศักยภาพพร้อมสำหรับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น ตั้งแต่ระดับพนักงานรายวันไปจนถึงระดับผู้บริหาร รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าพนักงานคนใดมีความถนัดและทักษะเหมาะสมในการเลื่อนตำแหน่งดังกล่าวได้อย่างตรงจุด เพราะเราจะเห็นได้ว่ามีหลายองค์กรที่ประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งสูง เช่นผู้จัดการ หัวหน้างาน เป็นต้น เพราะเนื่องจากองค์กรไม่สามารถที่จะหาบุคลากรจากภายในเพื่อมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าองค์กรไม่มีการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานที่มีอยู่ เพื่อที่จะเตรียมให้พวกเขาได้พร้อมสำหรับตำแหน่งเหล่านี้

3) ทำให้องค์กรพร้อมสำหรับธุรกิจในอนาคต การพัฒนาพนักงานเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องและไม่ควรหยุดนิ่ง ทักษะที่เกี่ยวข้องในวันนี้อาจจะล้าสมัยในวันพรุ่งนี้ ซึ่งหมายความว่าในฐานะพนักงาน คุณต้องจับตาดูอนาคตอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นบริษัทจะซบเซาเพราะตามไม่ทันตลาดในอนาคต ดังนั้น ในฐานะนายจ้าง คุณต้องถามตัวเองหลายคำถามเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของบริษัท เช่น ฉันต้องการความเป็นผู้นำแบบไหน? ลูกค้าของฉันต้องการอะไรจากพนักงานของฉัน? ฉันคาดหวังการเปลี่ยนแปลงใดในอนาคตอันใกล้และในระยะยาว? การวิเคราะห์คำถามเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนจะทำให้เห็นว่าพนักงานมีส่วนสำคัญต่อคำตอบหรือแผนงานที่คุณคิด ดังนั้นการฝึกอบรมและการพัฒนาจึงเชื่อมโยงกับความสำเร็จของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสิ่งที่บังคับให้นายจ้างมองไปข้างหน้าเพราะการพัฒนาพนักงานไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผนที่ดีเท่านั้น เพราะทุกธุรกิจอาจเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของลูกค้าและเทคโนโลยีดังนั้น การฝึกอบรมและทักษะที่ใช้ได้เมื่อวานอาจไม่ได้ผลในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนการพัฒนาพนักงานขององค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเส้นทางในอนาคตขององค์กรซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเพราะการคิดล่วงหน้าและพัฒนาพนักงานเพื่อให้พร้อมกับธุรกิจในอนาคตจะทำให้องค์กรอยู่รอดในการแข่งขันของโลกอนาคต

การทำงานอย่างชาญฉลาด

การทำงานอย่างชาญฉลาด work intelligence

การทำงานอย่างชาญฉลาด work intelligence เป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ในการทำงานหลายๆ ครั้งของเรา มักจะได้เจอกับปัญหาหรือหน้าที่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายที่หนักหนาสาหัสด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงให้มากๆ ก็คือการวางแผนก่อนลงมือทำ และทบทวนผลจากการทำงานทุกครั้ง เพื่อปรับปรุงให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการรู้จักนำ Inlelligence ที่มีอยู่ออกมาช่วยในการทำงาน หรือเรียกว่า การทำงานอย่างชาญฉลาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเพื่อช่วยให้งานหนักกลายเป็นเรื่องที่ไม่หนัก บางครั้งการทำงานหนักอาจไม่ดีนัก เพราะว่าการทำงานอย่างชาญฉลาดจะดีกว่าเสมอเพราะเมื่อเจอกับปัญหาก็จะรู้จักที่จะหาวิธีการแก้ปัญหาที่ ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง รวดเร็ว และได้ประสิทธิภาพนั่นเอง

          ทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่ามีผู้คนจำนวนมากที่ทำงานอย่างหนัก โดยที่พวกเขาเหล่านี้ไม่รู้จักวิธีการวางแผนงาน การจัดการงานให้มีประสิทธิภาพ พวกเขาทำงานตามแบบที่เคยมีไว้ โดยที่ไม่หาวิธีที่จะลดงานหรือลดแรงของตนเอง ในขณะที่คนที่ทำงานอย่างชาญฉลาด จะมีวิธีการทำงานที่ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพเสมอ

           ตัวอย่างเช่น บริษัทให้พนักงาน A กับ พนักงาน  B  ทำการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท พนักงาน A ใช้วิธีการทำการตลาดโดยการเดินตามบ้านเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ และแจกโปรชัวร์ ในขณะที่พนักงาน B ทำการตลาดแบบออนไลน์ โปรโมทผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนมากขึ้นได้อย่างง่ายด่าย และรวดเร็ว บางครั้งการทำงานอย่างชาญฉลาดมันอาจไม่ใช้วิธีที่ดี แต่เป็นวิธีที่ดีกว่านี้ แตกต่างและเป็นนวัตกรรมใหม่ นั่นเป็นวิธีที่คุณจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

มาดูองค์ประกอบที่จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างชาญฉลาด

  1. หาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ คนที่ทำงานอย่างชาญฉลาดพวกเขาจะไม่หยุดพัฒนาตนเอง พวกเขาจะค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา และพวกเขาไม่หยุดที่จะหาความรู้ให้ตนเอง
  2. เพิ่มทักษะในการทำงาน นอกจากพวกเขาจะหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาพวกเขายังนำความรู้นั่นมาพัฒนาจนเกิดเป็นทักษะให้กับตนเองได้อีกด้วย
  3. สร้างจุดแข็งในการทำงาน และที่สำคัญพวกเขายังรู้ว่าตนเองมีจุดแข็งและจุดอ่อนในการทำงานอย่างไร เพื่อที่จะพัฒนาตนเองให้ถูก
  4. รู้วิธีการปรับตัวได้อย่างดี ในยุคปัจจุบันการทำงาน การปรับตัวเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่าง คนที่ทำงานอย่างชาญฉลาดพวกเขาจะรู้วิธีการปรับตัวในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และพวกสามารถที่จะผ่านมันไปได้อย่างง่ายด่าย

"ดังนั้นถ้าเราทำงานอย่างคนฉลาดแน่นอนว่า การทำงานของเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ลองนำไปปรับใช้กับการทำงานของทุกคนดูนะคะ"

สามารถเข้าไปอ่าน content ที่น่าสนใจอื่นๆได้ที่ Social Intelligence ความฉลาดทางสังคม

เครื่องมือในการพัฒนาบุคลกร ที่นิยมใช้ในองค์กร

เครื่องมือในการพัฒนาบุคลากร ที่นิยมใช้กันในองค์กร

“เครื่องมือในการพัฒนาบุคลากร ที่นิยมใช้กันในองค์กร”เป็นอย่างไร? การพัฒนาบุคลากรในองค์กร ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เพราะว่าในปัจจุบันนี้ธุรกิจมีการแข่งขันที่สูงมาก และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีก็ก้าวกระโดดมากอีกด้วย การที่องค์กรมีการเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตถือเป็นสิ่งที่ได้เปรียบอย่างมากในยุคปัจจุบัน และสิ่งที่สำคัญก็คือเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรให้ทันกับโลกในอนาคต การพัฒนาบุคลากรจึงเป็นเรื่องที่องค์กรมองข้ามไม่ได้เลยก็ว่าได้ เพราะการที่เรามีบุคลากรที่มีศักยภาพนั่น จะส่งผลให้องค์กรมีการเติบโตได้ด้วยเช่นกัน และเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาบุคลากรในองค์กร ที่นิยมใช้กันก็คือ

Training

เป็นเครื่องมือที่หลายๆ องค์กรนิยมใช้กัน เพราะทำได้ง่าย แค่เพียงมีงบประมาณก็สามารถส่งพนักงานไป Training ได้ในสายงานของตนเองได้   ไม่ยุ่งยากในการดำเนินการในเรื่องนี้มากพอที่จะพัฒนาพนักงาน แต่การฝึกอบรมนั้น สิ่งที่พนักงานจะได้รับกลับมาก็แค่เพียงความรู้เท่านั้น ถ้าเราอยากพัฒนาทักษะ และพฤติกรรมพนักงานให้ได้จริงๆ การฝึกอบรมจะไม่ได้ผล

Hand On

เป็นอีกเครื่องมือที่มีความจำเป็นในการพัฒนาบุคลากรหรือพนักงานใหม่ที่เข้ามาทำงานใหม่ ซึ่งวิธีการนี้ก็คือการสอนแบบจับมือทำนั่นเอง วิธีการนี้เป็นวิธีการพัฒนาพนักงานที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไร เพราะเป็นการสอน แนะนำ และให้ทำงานจริง พร้อมกับการฝึกฝนไปพร้อมกับการทำงานจริงๆ ซึ่งก็จะทำให้พนักงานได้ทักษะในการทำงานจริงๆ

Conceptual Ability

เป็นเครื่องมือในการพัฒนาพนักงานโดยการมอบหมายงานที่ท้าทาย  และเป็นงานที่ยากขึ้นในสายงานให้กับพนักงาน เป็นวิธีการพัฒนาพนักงานที่จำเป็นต้องมีการวางแผนกันล่วงหน้า  ว่าภายใน ปีนี้จะพัฒนาด้านใดให้กับพนักงาน แล้วจึงนำมาเชื่อมโยงกับงานที่จะมอบหมายในปีนั้นๆ เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสใช้ความรู้ทักษะใหม่ๆ นั้นๆ การมอบหมายงานให้ทำนั้น จะเป็นการฝึกทักษะในการทำงานของพนักงานให้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น และมีความรู้ด้านใหม่ๆ มาพัฒนาองค์กรได้อีกด้วย

'' ดังนนั้นการพัฒนาบุคลากรจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมากที่ที่องค์กรไม่ควรมองข้าม ถ้าอยากทราบว่าพนักงานขององค์กรควรมีการพัฒนาอย่างไรให้ตรงจุด Trust Vision เรามีคำตอบให้กับคุณ ''

สามารถอ่าน content ที่น่าสนใจได้ที่ พัฒนาองค์กรไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลากร

ทักษะการปรับตัว (Adaptability) กับการทำงานในยุคปัจจุบัน

ทักษะการปรับตัว (Adaptability)  กับการทำงานในยุคปัจจุบัน

ทักษะการปรับตัว (Adaptability) กับการทำงานในยุคปัจจุบัน เพื่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงในที่จะเกิดขึ้น การทำงานในยุคปัจจุบัน และสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีโรคระบาดแบบนี้ ความสามารถในการปรับตัวคือสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการทำงาน เพราะความสามารถในการปรับตัวนั้นจะช่วยให้คุณพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก ทำให้คนที่มีทักษะการปรับตัวจะกลายเป็นคนที่ได้เปรียบในการทำงานและความสามารถในการปรับตัวนั้น เราทุกคนสามารถที่จะสร้างหรือพัฒนาได้ เราจะพาไปดูกันว่าเรานั่นสามารถที่จะสร้างและพัฒนาทักษะการปรับตัวได้อย่างไรบ้าง

ความสามารถในการปรับตัว

คนที่มีความสามารถในการปรับตัว ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา แต่จะเป็นคนที่มีความสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม และกล้าที่จะเริ่มต้นทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการคิดไอเดียใหม่ๆ เพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ๆ นอกจากนี้แล้วยังกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นอีกด้วย เพื่อนำข้อผิดพลาดนั้นมาปรับปรุงแก้ไข ให้บรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งไว้ ช่วยให้เรามองเห็นทางออกของปัญหาได้อย่างดี ปรับมุมมองให้แตกต่างจากเดิม เพื่อที่จะมองเห็นโอกาสในการปรับตัว และสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานให้สามารถลงมือปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างด

จะสร้างความสามารถในการปรับตัวได้อย่างไร

1. รู้จักเปิดใจเพื่อรับสิ่งใหม่

การเปิดใจเป็นสิ่งแรกในการเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเป็นสิ่งที่สำคัญในการปรับตัวในการทำงาน เพราะในการทำงานนั้น เราพบกับผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ หรือวงสังคมใหม่ๆ ทำให้เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักเปิดใจให้กว้างเพื่อสร้างมิตรภาพใหม่และเรียนรู้สิ่งใหม่จากพวกเขา เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.รับฟังคำวิจารณ์

คำวิจารณ์อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่ชอบ บางครั้งอาจจะส่งผลทำให้รู้สึกท้อแท้ในการทำงานได้ แต่การรับฟังคำวิจารณ์อย่างรอบด้านและนำมาวิเคราะห์นั้นก็จะสามารถสร้างเป็นแรงผลักดันและปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะรับฟังคำวิจารณ์ได้อย่างดี จะสามารถช่วยให้เราและทีมประสบความสำเร็จและไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้เช่นกัน

3.Growth Mindset

คนที่มีกรอบความคิดแบบเติบโตจะเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวในการทำงานหรือการปรับตัวในชีวิตประจำวันก็ตาม เพราะคนที่มี Growth Mindset จะพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะช่วยในการผลักดันขีดจำกัดของตัวเอง และพร้อมรับคำวิจารณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตัวเองสามารถพัฒนาได้อย่างดี ซึ่งจะช่วยในการต่อยอดไอเดียให้มีความหลากหลาย และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำงาน

4.เป็นผู้รับฟังที่ดี

การเป็นผู้ฟังที่ดีจะช่วยให้คุณได้รับไอเดียต่างๆ ใหม่ๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไอเดียในกรอบหรือไอเดียนอกกรอบก็ตาม ซึ่งคนที่ปรับตัวเก่งก็จะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีเพื่อเปิดใจรับสิ่งต่างๆ เพื่อนำมาปรับเทคนิคการทำงานของตัวเอง อีกทั้งยังช่วยสร้างความกระตือรือร้นเพื่อให้อีกฝ่ายประทับใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยการเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นจะต้องตั้งใจรับฟังสิ่งที่ต้องการจะสื่อ รู้จักตีความ ประเมินค่า และตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่ผู้พูดกำลังเสนออยู่

  

''ความสามารถในการปรับตัว ยังเชื่อมโยงกับมุมมองในด้านต่างๆ ทั้งความฉลาดทางอารมณ์และทางด้านสังคม มุมมองในด้านบวก ทัศนคติ ไปจนถึงการควบคุมอารมณ์ของตนเอง เพราะเมื่อเราทุกคนมีทักษะในการปรับตัว เราก็จะสามารถพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ โดยเฉพาะในด้านของการทำงาน''

เมื่อขอพรปีใหม่ ”แต่” ลืมไปว่า

เมื่อนักขอพรตัวยงขอพรปีใหม่ ''แต่'' ลืมไปว่า...

เมื่อนักขอพรตัวยงขอพรปีใหม่ “แต่”ลืมไปว่า..แอดมินเชื่อว่า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่นี้ เราทุกคนคงอยากที่จะขอพรให้หน้าที่การงานที่ทำนั้นประสบความเร็จอย่างแน่นอนค่ะ วันนี้แอดมินได้รวม คำขอพรในแบบที่ทำให้ทุกคนคลายเครียดก่อนหยุดยาวปีใหม่ที่จะถึงกันค่ะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ 2022 ขอให้ทุกคนมีความสุขในปีใหม่นะคะ

ขอพรปีใหม่เรื่องอะไรดีนะ?

สามารถอ่าน content ที่หน้าสนใจอื่น ๆ ได้ที่ Happy My Job to My Love งานอะไรที่ทำให้คุณใจสั่น

” สายเทพในออฟฟิศ ”

คุณเคยได้ยินคำว่า “สายเทพในออฟฟิต” กันบ้างไหม วันนี้เราลองมาสำรวจดูว่าเรานั้นอยู่ในสายไหนกันบ้าง เผื่อตรงใจใครหลายๆคน 😀
แอดมินได้นำส่วนหนึ่งของแต่ละสายเทพ นำมาจัดเป็นประเภทสายเทพด้านต่างๆ เพื่อให้ทุกคนได้คลายเครียดก่อนกลับออฟฟิตเต็มตัว 😊

             สายฮีโร่

        สายเพอร์เฟค

            สายรักษา

            สายอบอุ่น

             สายขยัน

              สายติสท์

          สายปลีกวิเวก

               สายมู

           สายแฟชั่น

             สายชิล

               สายกิน

             สายเสมอ

           สายผูู้สร้าง

 

             สายนิน

           สายประจบ

รู้จัก ” Toxic People “

รู้จัก Toxic People

ทุกวันนี้ในการทำงานในองค์กร เรามักจะพบเจอกับคนที่มีอุปนิสัยที่แตกต่างกันไป เพราะแต่ละคนนั้นล้วนมาจากร้อยพ่อพันแม่ มาจากต่างสถานที่กัน จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะมีความเห็นไม่ตรงกัน และพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป แน่นอนว่าเราอาจจะต้องพบเจอกับคนที่เป็น Toxic People ในองค์กรที่เราทำงานอยู่ก็ได้

Toxic People คือ คนที่มีพฤติกรรมที่เป็นพิษ ไม่น่าอยู่ใกล้ด้วย เพราะจะทำให้เรารู้สึกแย่ และรู้สึกว่าไม่มีความสุข หรือที่เลวร้ายที่สุดก็คืออาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิตเราด้วยอย่างมาก อาจจะทำให้เรามองเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลงเลยก็ได้ เพราะ  Toxic People เป็นกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมที่ส่งผลให้คนที่อยู่ใกล้ หรือคนที่ใกล้ชิดมีความรู้สึกที่แย่ ไม่มีความสุขไปด้วย หรือด้อยค่าลงก็ได้ ซึ่งถือได้ว่า Toxic People อาจเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่จะที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต

ข้อสังเกตของคนที่มีพฤติกรรม Toxic People

1. อิจฉา

นิสัยของคนที่มีพฤติกรรม Toxic People นั้นจะเป็นคนที่มีนิสัยข้อนี้เกือบทั้งสิ้น บางคนไม่ได้มีความอิจฉาเรื่องจากภายนอกเพียงอย่างเดียว บางคนอิจฉาจนเกินงาม การที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนเองไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม คนเหล่านี้จะคิดว่าก็ทำได้เท่านี้ละ เราก็ทำได้และทำได้ดีกว่า ชอบที่จะวิจารณ์และแนะนำคนรอบข้าง แน่นอนว่าคำแนะนำนั้นมีประโยชน์ แต่มันก็จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ชอบวิจารณ์ไปซะทุกอย่าง แต่ก็ไม่ช่วยทำอะไรให้ดีขึ้น ซึ่งการวิจารณ์นั้นก็ไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์

2. อารมณ์ร้อน

คนที่อารมณ์ร้อนหงุดหงิดง่ายกับในทุกๆ เรื่องที่เจอ จะเป็นคนที่ไม่ค่อยนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่น คนประเภทนี้จะชอบโชว์เหนือในวงสนทนา ถ้าพวกเขาได้เริ่มคุยกับใครแล้ว คนที่ร่วมสนทนาด้วยนั่นจะแทบไม่ได้ยินคำถามที่ขอความคิดเห็นจากคนเหล่านี้เลย ส่วนใหญ่จะกลายเป็นประโยคพูดคุยที่เรียกความสนใจจากคนฟังเสียมากกว่า คนเจ้าอารมณ์จะมองไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง เพราะเมื่อไรที่มีการโต้แย้ง คนเหล่านี้จะตั้งต้นด้วยความรู้สึกที่ว่า ความคิดของพวกเขาถูกต้องเสมอ และคนอื่นก็ควรต้องยอมรับในความคิดเห็นของพวกเขา ทุกๆ ครั้งที่คนอื่นพูด คนเจ้าอารมณ์จะฟังเพื่อตอบโต้เท่านั้น ไม่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ ซึ่งตลอดระยะเวลาของการสนทนานั้นเราจะไม่ได้อะไร นอกจากความโกรธเกรี้ยวที่ไร้เหตุผล ไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ถูก หงุดหงิดใส่ผู้ร่วมสนทนา ใช้อารมณ์ใส่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงกับคนเจ้าอารมณ์ แน่นอนว่าทุกคนมีอารมณ์กันทั้งนั้น แต่คนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้นั่น ให้เราเริ่มจากคุยกับเขาก่อน รับฟังเขา เพราะเขาอาจจะเจอปัญหาอะไรมาทำให้อารมณ์เสียก็ได้ แต่หากเขาไม่สนใจ ใส่อารมณ์ใส่เราจนไปถึงทำความรุนแรงใส่ก็ควรหลีกเลี่ยง

3.เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

จะเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นใจผู้อื่น ยึดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ ชอบที่จะเป็นจุดสนใจในทุกๆ เรื่อง คิดว่าตัวเองมีความสำคัญมากและต้องการเป็นคนที่ถูกยกย่องชมเชยตลอดเวลา หมกมุ่นอยู่กับ อำนาจ ความฉลาด และความสำเร็จในจิตนาการของตนเอง คิดว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นทำทุกอย่างเพื่อตนเอง คิดว่าตนเองจะต้องได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ มากกว่าคนอื่น ขาดความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง ไม่สนใจหรือไม่รับรู้ถึงอารมณ์และความต้องการของผู้อื่น      คนเหล่านี้เป็นคนอีกประเภทที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดเลย เพราะคนเหล่านี้มักจะไม่เห็นความสำคัญของผู้อื่นและมักจะชอบจับผิดในความผิดพลาดของผู้อื่นไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม 

4. จอมบงการ

คนเหล่านี้จะเป็นคนที่คอยเจ้ากี้เจ้าการ บงการและชอบควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจที่ตนเองต้องการ ไม่ใช่เพราะหน้าที่หรือสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แต่เป็นเกือบจะทุกเรื่องในชีวิตของคนที่อยู่รอบตัว หรือจ้ำจี้จ้ำไชกับเรื่องส่วนตัวและชีวิตคนอื่นตลอดเวลา จนบางครั้งเลยขอบเขตและพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

” ดังนั้นลองสังเกตดูว่ารอบตัวเราในที่ทำงาน เราได้พบเจอคนประเภทนี้บ้างหรือไม่ ถ้ามีให้พยายามหลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่าง หรือถ้าเราจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกัน และหากถึงขั้นทะเลาะกันกับคนเป็นพิษเหล่านั้น ก็เป็นการยากที่จะสร้างสมดุลระหว่างความจริงใจและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทางอารมณ์เหล่านั้น ให้เรานิ่งเข้าไว้ ไม่สนใจ หรือเฉยไปเลย ปล่อยให้คนเหล่านี้แสดงพฤติกรรมที่เป็นพิษต่อไป สุดท้ายแล้วความเป็นพิษนั้นก็จะอยู่กับตัวของเขาเอง นั่นหมายความว่าคนเหล่านี้จะแพ้ภัยตัวเอง เพราะความเป็นพิษจะอยู่กับเขา และความเครียดก็จะอยู่กับเขาด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องทางจิตวิทยา ต้องรู้เท่าทัน อย่าไปสนใจ “

Stress Management วิธีการจัดการความเครียด

วิธีการจัดการความเครียดที่ดี

เชื่อได้ว่าหลายคนคงเคยผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้นอนไม่หลับเพราะคิดมากหรือเกิดการวิตกกังวลใจ และรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากที่จะทำอะไรเลย บางคนอาจเกิดอาการทางร่างกาย เช่น มีอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอย ปวดไหล่ ปวดหัวไมเกรน ลองสังเกตกันดูว่าเรามีอาการเหล่านี้หรือไม่ ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น แสดงว่าเรากำลังเริ่มก้าวเข้าสู่ภาวะความเครียดในระยะแรกก็เป็นไปได้

“ความเครียด” (stress) คืออะไร ?

ความเครียด (Stress) คือ อาการที่เกิดจากภาวะทางด้านของอารมณ์ ความรู้สึกที่ถูกบีบคั้น กดดัน ทำให้มีอาการแสดงออกมากที่ต่างกัน เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นสิ่งที่รบกวนสภาวะจิตใจ ทำให้มีภาวะทางด้านอารมณ์ที่แสดงออกมา หรืออาจจะทำให้เกิดอาการทางด้านร่างกาย จึงทำให้สภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจเสียไป เช่น กลายเป็นคนที่วิตกกังวล นอนไม่หลับ มีอาการปวดหัวไมเกรน หรือปวดหัวเป็นระยะ และบางคนอาจถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า เลยก็เป็นได้ ในแต่ละคนจะอาจจะมีวิธีการปรับตัวเพื่อให้ผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดต่างกันขึ้นอยู่กับทักษะวิธีการที่จะจัดการกับความเครียดของแต่ละบุคคล แต่ในบางคนเมื่อเกิดความเครียดไม่สามารถหาวิธีการจัดการกับความเครียดนั่นได้ นานๆ ไป หรือปล่อยไวก็จะกลายเป็นความทุกข์ทรมาน และอาจจะทำให้เกิดกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้า (Depressive disorder) ก็ได้ เราจึงแนะนำมีวิธีในการจัดการความเครียดให้ลองได้นำไปใช้กันดู ในแบบของ Trust Vision กันดู

วิธีจัดการความเครียด (Stress Management)

วิธีจัดการความเครียด (Stress Management)หาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด เราต้องพิจารณาว่าสิ่งเร้าอะไรทำให้เราเกิดความเครียด และหาวิธีการแก้ไขในสิ่งที่ทำให้เราเครียด พิจารณาดูว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้หรือไม่ หากแก้ไขไม่ได้อาจต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรือไม่ เพราะว่าบางครั้งปัญหานั่นอาจไม่ได้เกิดจากเราเพียงแค่คนเดียว เมื่อเราทราบถึงสาเหตุของความเครียดแล้ว ก็มาไตร่ตรองดูว่าปัญหานั่นควรแก้ไขอย่างไร การใช้สติในการแก้ปัญหาว่าควรแก้จากตรงไหนก่อน การพักผ่อนก็ทำให้เราคลายความตึงเครียดทางด้านร่างกายได้ เช่น การหายใจลึกๆ ออกกำลังกาย การผักผ่อนให้ตรงเวลา การรับประทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย ในด้านของความตึงเครียดทางด้านจิตใจ บางครั้งการคิดบวก และสร้างอารมณ์ การดูภาพยนตร์ การฟังเพลง การหัวเราะ การทำสมาธิ การใช้เทคนิคความเงียบ เพื่อหยุดความคิดของตัวเอง ในเรื่องที่ทำให้เครียด

” วิธีการจัดการความเครียดที่กล่าวมาข้างต้น อาจช่วยบรรเทาอาการเครียดได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราเริ่มมีความเครียดแล้วหรือยัง สิ่งไหนที่เป็นตัวกำหนดทำให้เราเกิดความเครียด เพื่อที่จะรับมือและจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้ อย่าลืมว่าทุกปัญหาของชีวิต ถ้าเรามีสติในการนำทาง ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ ไม่ว่าปัญหานั่นจะทำให้เราเครียดแค่ไหน ลองใช้สติในการพิจารณาแล้วเราจะพบทางออก และทำให้เราหายเครียดได้ “

5 นิสัยของคนทำงานที่อนาคตไกล

5 นิสัยของคนทำงานที่อนาคตไกล

          เมื่อเราทุกคนต้องก้าวเข้ามาในช่วงชีวิตวัยทำงาน แน่นอนว่าทุกคนจะต้องมีการตั้งเป้าหมายในชีวิตของการทำงานที่ชัดเจน มีการวางแผนเพื่อที่จะก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จตามที่เรามุ่งหวังไว้ เพราะการที่เราตั้งเป้าหมายไว้จะทำให้ง่ายต่อการกำหนดทิศทางในการทำงาน เพื่อให้ไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างทันตามกำหนด และเมื่อเราเริ่มก้าวเข้าสู่วัยทำงานเหลายๆ คนก็จะเริ่มจากการเป็น “ลูกน้อง” อาจจะเป็นด้วยสถานการณ์ทางด้านประสบการณ์หรือแม้แต่ในเรื่องอายุในการทำงาน แต่การเริ่มจากการเป็นลูกน้องก็ใช่ว่าจะไม่ดี เพราะหลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นลูกน้องกันทั้งนั้น แล้วลักษณะนิสัยลูกน้องแบบไหนที่หัวหน้ารัก องค์กรรัก และใครๆก็อยากร่วมงานด้วย วันนี้ทาง Trust Vision จึงได้นำเสนอถึง 5 นิสัยของคนทำงานอนาคตที่ไกลมาฝากให้กับทุกๆคนได้อ่านกันค่ะ

1) รักการเรียนรู้ ไม่หยุดพัฒนาตนเอง

การที่เราพัฒนาตนเองอยู่เสมอ มักจะได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่น เพราะในอนาคตคนที่มีความรู้หลากหลายและสามารถทำงานได้มากกว่าหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ และจะทำก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่าคนอื่นๆ ได้อีกด้วย ทั้งโอกาสด้านตำแหน่งงาน การปรับเงินเดือน ร่วมถึงเรื่องอื่นๆ ดังนั้นการที่เราเรียนรู้และไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเองนั้นจะส่งผลให้อนาคตเติบโตในหน้าที่การงานได้อย่างแน่นอน

2) มีทัศนคติที่ดี

การที่เรามีทัศนคติที่ดีจะทำให้เรา สามารถร่วมงานกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข และจะเป็นที่รักของคนที่ได้ร่วมงานด้วย การที่เรามีทัศนคติที่ดีจะส่งผลดีทั้งเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะคนที่มีทัศนคติที่ดีไม่ใช่คนมองโลกในแง่บวกแต่เป็นคนที่มองโลกในความเป็นจริง และพร้อมรับมือกับทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นโดยการใช้สติ และเหตุผลในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

3) กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน

เมื่อเริ่มทำงานแน่นอนว่าทุกคนต้องมีความฝัน การที่เรารู้จักตั้งเป้าหมายในการทำงาน จะทำให้เราไม่หลงทางในการทำงาน และยังทำให้เราทราบได้ด้วยว่างานที่เราทำนั้นมันใช่สิ่งที่เราต้องการจะทำจริงๆ หรือไม่ การที่เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้เราเลือกทางที่เราถนัดและทำมันได้ดี และเมื่อเราทำสิ่งที่เราชอบก็จะทำให้ผลงานเราออกมาดีตามไปด้วย การประสบความสำเร็จและการเติบโตในสายงานจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป

4) ยอมรับ Feedback

 ไม่กลัวความผิดพลาด คนเก่งมักไม่กลัวความผิดพลาด คนที่รู้จักยอมรับ Feedback ในการทำงานไม่ผลักภาระความผิดให้คนอื่น มีการมองหาประโยชน์จากการรับ Feedback รู้จักนำ Feedback ที่ได้รับกลับมาปรับปรุงตนเองเพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

5) มีความรับผิดชอบสูง

ความรับผิดชอบคือ การมีความมุ่งมั่นตั้งใจปฎิบัติหน้าที่การงานให้บรรลุความสำเร็จตามความมุ่งหมาย และพยายามปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เอาใจใส่ติดตามผลงานไม่ทอดทิ้งงาน ยอมรับผิดผลของหน้าที่การงานที่ตนเองกระทำไม่ดี ไม่ปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทน

” และนี้คือ 5 นิสัยของคนทำงานที่อนาคตไกล ถ้าอยากทำงานแล้วมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ลองนำทั้ง 5 วิธีไปปรับใช้ในชีวิตการทำงาน และพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ไปพร้อมๆ กัน  “