บทสัมภาษณ์เรื่อง” Generation แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ร่วมงานอย่างไรให้มีความสุข”

Generation แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ร่วมงานอย่างไรให้มีความสุข

สวัสดีค่ะวันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ HR รุ่นใหม่ไฟแรงอีกหนึ่งท่านและถือได้ว่าเป็นด่านหน้าในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานในองค์กร ถึงมุมมองเรื่อง generation ว่ามุมมองเรื่อง Gen ของเขานั้นเป็นอย่างไร และ Gen สำคัญอย่างไรกับการทำงาน

"ในหัวข้อ generation แตกต่างแต่ไม่แตกแยก ร่วมงานอย่างไรให้มีความสุข"

ยินดีต้อนรับพี่หนิงค่ะ
สวัสดีค่ะพี่หนิงแนะนำด้วยหน่อยค่ะ
พี่หนิง : สวัสดีค่ะชื่อนางสาวสุภัทรา กาญจนสุทา ชื่อเล่นหนิง เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลบริษัทแร็กน่าร์คอร์ปอเรชั่น ค่ะ

อยากให้นิยามคำว่า Gen ในมุมมองของตัวเองหน่อยค่?
พี่หนิง : Gen คือการที่เราได้ศึกษาคุณลักษณะที่แตกต่าง หรือนิสัยการให้คุณค่าของคนแต่ละยุคสมัย โดยตามที่หนิงศึกษามามีทั้งหมด 5 Gen ประกอบด้วย
1.Silent Generationเป็น Gen ขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ยุคนี้จะเป็นยุคที่น่าสงสารมากเพราะเกิดสงครามเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวยากหมากแพงผู้คนก็จะใช้ชีวิตลำบากมาก ต้องทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำทำงานหนักมาก เพื่อจะได้มีทรัพยากรหรือว่าเงินทอง อาหารการกินที่มาหล่อเลี้ยงครอบครัว และแบบแผนการชีวิตของคนยุคนี้ค่อนข้างเคร่งเครียดกับแบบแผนในชีวิตประจำวัน จารีตประเพณีต่างๆให้ความสำคัญจงรักภักดีต่อเจ้านายต่อประเทศชาติ
2. Generation B ปัจจุบันเป็นช่วงวัยผู้สูงอายุ รุ่นคุณปู่คุณย่า Generation นี้จะเกิดช่วงหลังสงครามโลกสงบ ยังคงใช้ชีวิตลำบากและต้องเร่งผลิตประชากร เพื่อจะมาช่วยฟื้นฟูประเทศหลังสงครามโลก คนในยุคนี้ก็คงเข้าถึงทรัพยากรหรือองค์ความรู้ยังได้ไม่มาก องค์ความรู้หรือทรัพยากรของคน Gen นี้จะไปตกอยู่ที่คนชั้นนำคนชั้นปกครองทำให้คนGenนี้ค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญหรือให้คุณค่ากับบุคคลที่เป็นคนชั้นนำหรือคนชั้นปกครองที่เขาเข้ามาบริการและเป็นผู้นำขององค์กร
3.Generation X จะเป็นช่วงคุณพ่อคุณแม่ของเรายุคนี้ จะอยู่ช่วงอายุ 42ปี-56ปี Generation หลังจากที่เรามีการเพิ่มจำนวนประชากรจากรุ่นที่แล้ว ในยุคนี้ต้องแบกการผลิตประชากรมีการคุมกำเนิดเกิดขึ้น เนื่องจากประชากรมีจำนวนเยอะขึ้นจึงทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้น ทำให้คน Gen นี้จะมีการตั้งคำถามเหมือนกันว่าทำไมฉันจะต้องทำงานหนัก ทำไมฉันต้องอดทน เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ คนใน Gen นี้เริ่มที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมา มีเรื่องของเทคโนโลยี โทรศัพท์ เกมต่างๆ คอมพิวเตอร์เริ่มเกิดขึ้นในยุคนี้
4.Generation Y ก็จะเป็นรุ่นของพวกเราอายุตั้งแต่ 24ปี-41ปี ยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การศึกษาต่างๆมีความทันสมัยพร้อมจะเข้าถึงทุกๆคนแล้ว Gen นี้มีความคาดหวังที่จะประสบความสำเร็จเร็วเมื่อเทียบกับคนรุ่นๆเดียวกัน ชอบความอิสระ ชอบตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตมากมาย ให้คุณค่ากับการที่ได้ทำงานที่ตัวเองรักและไม่ชอบทำงานตามคำสั่ง ชอบการทำงานเป็นทีมที่มีการช่วยกันออกความคิดเห็น ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ Work Life Balance มากกว่าการที่ทำงานหนักและพักผ่อนน้อย
5.Generation Z เด็กที่เกิด พ.ศ.2544 เป็นต้นไป เด็กใน Gen นี้เกิดมาพร้อมทุกอย่างที่พร้อมแล้ว เด็กมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมาย เด็กในยุคนี้จะชอบคิดเร็วทำเร็วไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อน ทำให้คนต่างๆ Gen มุมว่าไม่มีความอดทน แต่จริงๆแล้วพวกเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับตัวของตัวเอง การที่ได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบเหมือนกัน
จุดเด่น จุดด้อยแต่ละ Gen เป็นอย่างไร?
พี่หนิง : ถ้าจะให้พูดถึงจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละ Gen หนิงขอย้อนไปใน Gen B และ Gen Z พวกเขาจะมีนิสัยที่คล้ายกันคือ มีการทำงานเป็นระเบียบแบบแผน เคร่งกับจารีตประเพณี พอมาเป็นGen X เริ่มมีแนวความคิดที่แปลกใหม่ กรอบความคิดสร้างสรรค์ก็จะมากขึ้น Gen Y ชอบความอิสระ ชอบทำงานเป็นทีม ไม่ชอบทำงานตามคำสั่ง และค่อนข้างให้ความสำคัญกับ Work Life Balance มากๆ ดังนั้นพวกเขาจะอยู่กับองค์กรที่มีความเคร่งเครียดมากๆไม่ได้ ยิ่งคนGen Z ถ้าองค์กรที่มีกฎระเบียบมากๆจะไม่ตรงกับพวกเขากลุ่มนี้เลย เขาชอบอยู่กับองค์กรที่อยู่แล้วท้าทายและพัฒนาอยู่เสมอ
เรื่อง Gen มีผลต่อการคัดเลือกบุคคลมกรเข้าทำงานหรือไม่?
พี่หนิง : ในบางตำแหน่งมีผล ถ้าเป็นระดับผู้จัดการหรือหัวหน้าทีมเราต้องการคนที่มีประสบการณ์ ตัวอย่างเช่นตำแหน่ง HR Manager เราก็ต้องการคนมีประสบการณ์ประเมินหนึ่ง แต่เราเป็นบริษัท Startup เราก็ไม่ต้องการคนที่มีความคิดสมัยเก่ามีความคิดล้าหลังจนเกินไปและที่สำคัญต้องมีGrowth Mindset ที่ดีสามารถทำงานกับคนทุกGenได้แต่ถ้าบางคนอายุยังน้อยแต่มีความรู้เยอะก็มีผลที่จะรับพิจารณาเข้าทำงานเหมือนกัน แต่สำหรับหนิงไม่ได้ตัดสินกันที่ Gen ว่าGenไหนเหมาะกับงานนี้มากกว่ากันแต่มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่เราจะเอามาพิจารณาด้วย
ในฐานะที่เราเป็น HR ที่ต้องทำงานกับคนหลากหลาย Gen มีเทคนิคอย่างไรในการทำงานร่วมกัน?
พี่หนิง : หนิงมุมว่าการที่เรามีความเข้าใจพื้นฐานการให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆของคนแต่ละ Gen เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พอเรารู้การให้คุณค่าของคนแต่ละ Gen เราจะมีการเปิดใจคุยกับเขามากขึ้นไม่เกิด Bias ในการประสานงานและจะทำให้งานนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น







" หนิงมุมว่าการที่เรามีความเข้าใจพื้นฐานการให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆของคนแต่ละ Gen เป็นเรื่องสำคัญมาก พอเรารู้การให้คุณค่าของคนแต่ละ Gen เราจะมีการเปิดใจคุยกับเขามากขึ้นไม่เกิด Bias ในการประสานงานและจะทำให้งานนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น "